สำหรับพวกเรานักลงทุนแล้ว เวลาเราเห็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง เราจะอดคิดถึงเรื่องฟองสบู่ไม่ได้
ตลาด Cryptocurrency ก็ไม่ต่างกัน
ทั้งมูลค่าบิทคอยน์เพิ่มขึ้นถึง 4เท่า ในระยะเวลาไม่ถึงปี
หรือเหรียญ Ethereum ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 28เท่า ในระยะเวลาเดียวกัน
ซึ่งโดยรวมแล้ว ตลาดนี้ได้เติบโตขึ้นถึง 8เท่าเลยทีเดียว
จากประมาณ 4.3แสนล้านบาทในช่วงกรกฏาคมปีที่แล้ว
ไปยัง 3.7ล้านล้านบาท ณ ปัจจุบัน
Credit: coinmarketcap
ทำไมมันถึงไม่ใช่ฟองสบู่หละ?
1. นักลงทุนพึ่งมาให้ความสนใจ
ถ้าเราสังเกตุจาก Volume ในกราฟเหล่านี้
เราจะเห็นได้ว่า ตลาดนี้พึ่งมาบูมจริงๆก็ตอนช่วง มีนาคม – เมษายน
ซึ่งหลักๆแล้วเป็นเพราะมีนักลงทุนให้ความสนใจมากขึ้น คนเริ่มไว้ใจและเข้าใจว่า Cryptocurrency คืออะไรมากขึ้น (ซึ่งเมื่อก่อนคนอาจมองว่ามันเป็น SCAM เลยทีเดียว)
เหตุผลนั้นอาจจะมาจากที่สื่อหลักๆเริ่มมีข่าวและบทความจำนวนมากเกี่ยวกับ Cryptocurrency
หรือการที่บางประเทศเริ่มออกมาเปิดรับ Cryptocurrency อย่างเป็นทางการ และได้มี Volume เทรดเข้ามามาก เช่นประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น
จากกราฟข้างล่าง เราจะเห็นได้ว่า จีนไม่ได้มี Volume เทรดสูงที่สุดอีกแล้วเมื่อชาติอื่นเริ่มเข้ามาเทรดมากขึ้น
Credit: coindesk
ดังนั้น การที่มูลค่าเหรียญต่างๆสูงขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ไม่ใช่เพราะฟองสบู่ แต่เป็นเพราะมีนักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากเข้ามาลงทุนในตลาดนี้
2. เงินลงทุนกระจายไปยังเหรียญใหม่ๆ หรือ altcoin
Credit: coinmarketcap
จากกราฟนี้ เราจะเห็นได้ว่าเงินลงทุนเริ่มให้ความสนใจในเหรียญอื่นๆ นอกเหนือจากบิทคอยน์ ซึ่งมีผลทำให้มูลค่าตลาดสูงขึ้น
การที่ตลาดโตเพราะมีผู้เล่นหรือโปรเจคที่ดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น
นี่เป็นสิ่งที่ healthy และดีต่อตลาดโดยรวมเพราะเงินลงทุนไม่ได้ไหลไปที่เหรียญๆเดียว
3. ยากที่จะประเมินมูลค่าของเหรียญ
การที่เราจะบอกได้ว่าสิ่งนั้นราคาเกินจริงได้ เราก็ต้องสามารถประเมินราคาที่มันควรจะเป็นได้ก่อน
ตัวอย่างเช่นหุ้น เราสามารถประเมินมูลค่าหุ้นได้จาก P/E ว่าราคาเหมาะสมหรือไม่ คืนทุนกี่ปี
เราดู book value ได้ ดูกำไรหรือขาดทุนได้ หรือแม้แต่เปรียบเทียบประสิทธิภาพของหุ้นที่เราเลือกต่อหุ้นอื่นใน industry เดียวกัน
กลับกัน Cryptocurrency เหล่านี้ไม่ใช่ Public company ที่จะมีการเงินมาโชว์
ดังนั้นเราไม่มีมูลค่ากลไกการวิเคราะห์มูลค่าของเหรียญเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ
ส่วนมากเราจะเห็นได้ว่าคนที่บอกว่าบิทคอยน์อยู่ในช่วงฟองสบู่จะอ้างอิงราคาช่วงหลังๆ
เช่น บิทคอยน์มูลค่าเพิ่มขึ้น จาก 2หมื่นบาท ไป 8หมื่นบาท หรือ 4เท่า ในเวลาไม่กี่เดือน
พอคนอ่านเห็น ก็จะคิดว่าอะไรที่ขึ้นขนาดนี้ในเวลาอันสั้น ฟองสบู่แน่ๆ
อย่าลืมว่าเมื่อ 7ปีที่แล้ว บิทคอยน์ราคาแค่ 34สตางค์
เมื่อ 5ปีที่แล้ว ราคา 200บาท
เทียบกับตอนนี้ราคา 8หมื่นบาท
ถ้าการที่มูลค่ามันเพิ่มอย่างรวดเร็ว ป่านนี้คนคงบอกว่ามันเป็นฟองสบู่ตั้งแต่ 5ปีที่แล้วตอนที่มัน 200บาทแล้ว เพราะมันมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 600 เท่า
เรามีวิธีวิเคราะห์มูลค่าบิทคอยน์หรือเหรียญเหล่านี้จริงหรือ ถึงพูดได้ว่าอะไรฟองสบู่ อะไรไม่ฟองสบู่
4. ตลาดยังใหม่และเล็ก เมื่อเทียบกับความหลากหลายในการลงทุน
ปกติแล้ว เราจะซื้อหุ้นบริษัท ก็ต้องไปตลาดหุ้น
จะซื้อทอง ก็ต้องไป ตลาด Commodity
จะเทรดค่าเงิน ก็ Forex
แต่สำหรับ Cryptocurrency market แล้ว มันเหมือนมีตลาดทั้งสามรวมกันอยู่ในที่เดียว
จริงอยู่ที่ว่า เหรียญส่วนมากนั้นจะใช้เทคโนโลยี Blockchain แต่ nature ของเหรียญนั้นหลากหลายออกไป
บางเหรียญก็ไว้จ่ายหรือเป็นตัวกลางแทนเงินเป็นเหมือนเงิน (XRP, DASH, ZCASH)
บางเหรียญก็ไว้ใช้รัน application เสมือนน้ำมัน (ETH)
บางเหรียญก็เป็น store of value เสมือนทอง (BTC)
บางเหรียญก็เป็นเหมือนหุ้นบริษัท ที่ให้ปันผล (DGD)
และยังมีเหรียญอีกมากมายที่ผุดขึ้นมาในตลาดนี้เรื่อยๆ และมี function และ nature ที่ต่างกัน
ถ้าเทียบบิทคอยน์กับทองคำ เราจะเห็นว่ามูลค่าปัจจุบันของบิทคอยน์ที่ $46.9 billions (1.5ล้านล้านบาท)
ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับมูลค่าของทองที่ถูกขุดมาแล้ว ซึ่งมีค่าประมาณ $8.2 trillions (278ล้านล้านบาท) ref
ดังนั้น ตลาด Cryptocurrency ที่มีมูลค่าเพียง 3.7ล้านล้านบาทนั้น ยังถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ
สรุปแล้ว ถามว่ามีสิทธิเป็นฟองสบู่ไหม
มีแน่นอนครับ
แต่พวกเราควรจะหาวิธีวิเคราะห์และประเมินราคาที่เหมาะสม แล้วมาดูว่ามันฟองสบู่หรือไม่
ดีกว่าพูดว่ามันฟองสบู่ เพียงแค่รู้สึกว่าราคามันสูง
อย่างไรก็ตามส่วนตัวผมคิดว่า ตลาดนี้ยังใหม่ เส้นทางอาจจะไม่ราบรื่น แต่ยังไปได้ไกลอีกมากครับ