วิเคราะห์เหรียญ

Ripple XRP รู้ก่อนลงทุน

ปัจจุบัน XRP ในตลาดมีมูลค่าสูงถึง $9.8 billions หรือ 3.4แสนล้านบาท

เป็นเหรียญอันดับสามของตลาด Cryptocurrency และปีนี้ได้เติบโตขึ้นถึง 40เท่าเลยทีเดียว

เรามาดูกันนะครับว่า มันคืออะไร ทำไมมันถึงน่าลงทุน และความเสี่ยงของเหรียญนี้

 

Ripple คืออะไร

Ripple เป็นบริษัทที่เข้ามาแก้ปัญหาการโอนเงินต่างประเทศระหว่างแบงค์

ซึ่งในปัจจุบันหากเราต้องการโอนเงินจากแบงค์ A ที่อยู่ที่ไทย ไป แบงค์ B ในญี่ปุ่น

ต่างแบงค์ต้องหาตัวเชื่อมหรือเอเจ้นท์ตัวกลาง ในที่นี้คือแบงค์หรือสถาบันการเงินที่สามารถช่วย settle การโอนเงินได้

เอเจ้นท์ตัวกลางในที่นี้อาจจำเป็นต้องมีมากกว่าหนึ่งบริษัท เพราะต้องเป็นเอเจ้นท์ที่แบงค์ A และแบงค์ B เชื่อใจได้

เช่นแบงค์ A ใช้เอเจ้นท์ X ส่วนแบงค์ B ใช้เอเจ้นท์ Y ซึ่งในที่นี้เอเจ้นท์ X กับ Y จะรู้จักกัน และจะจัดการ settle การโอนเงินให้

ปัญหาในปัจจุบัน

เราอาจรู้จักการใช้ Swift code ในการโอนเงินต่างประเทศ ซึ่งระบบนี้คือการส่งข้อความหากันระหว่างแบงค์ โดยบอกแบงค์ B ว่าแบงค์ A กำลังจะโอนเงินมา พร้อมกับวิธี settle เงินที่โอน โดยที่แต่ละแบงค์ยังต้องมานั่งหาเส้นทางเอเจ้นท์เชื่อมระหว่างแบงค์ ซึ่งทำให้การโอนเงินใช้เวลาหลายวัน และทำให้ค่าโอนนั้นแพงกว่าที่ควรจะเป็น

Ripple ต้องการแก้ปัญหานี้ โดยการสร้าง Ripple Protocol ซึ่งทำให้แบงค์ทั้งสองฝั่งสามารถหาเส้นทางหรือเอเจ้นท์เชื่อมที่สั้นที่สุดสำหรับการโอนเงินระหว่างแบงค์ A ไปแบงค์ B ให้อัตโนมัติ 

ผลลัพท์ก็คือ แบงค์สามารถโอนเงินได้ไม่ต่างกับส่ง e-mail หากัน ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ e-mail จากแบรนด์หรือโดเมนไหนก็ตาม เช่น Hotmail Gmail เป็นต้น

ซึ่งระบบนี้จะลดเวลาจากการโอนเงินเป็นวัน ลงมาไม่ถึงชั่วโมงเลยทีเดียว

*Ripple Protocol ไม่ได้จำกัดแค่การโอนสกุลเงิน แต่แบงค์ยังสามารถโอนทรัพย์สินอื่นๆ เช่นทองได้ด้วย

 

XRP คืออะไร

XRP เป็น Cryptocurrency ที่ Ripple เป็นคนปล่อยออกมาไว้ใช้โดยเฉพาะใน Ripple network

ในบางเคสที่ไม่สามารถหาเส้นทางเชื่อมระหว่างสองแบงค์ได้ (ทั้งคู่ไม่มีเอเจ้นท์ที่รู้จักกัน)

Ripple Protocol ก็จะใช้ XRP เป็นสกุลเงินในการแลกเปลี่ยนแทน

ในขณะเดียวกัน Ripple ได้สนับสนุนให้แบงค์ใช้ XRP เป็นสกุลเงินในการโอนเงินหลักๆ แทนที่จะใช้เป็นแค่วิธีสำรอง เพราะการใช้ XRP จะทำให้การโอนเงินเร็วขึ้นไปอีก หรือเพียงไม่กี่วินาทีเลยทีเดียว (Ripple เคลมว่า XRP สามารถ process ได้ถึง 1000 transaction ต่อวินาที หรือเทียบเท่ากับ VISA เลยทีเดียว)

เนื่องจากการตรวจสอบ XRP transaction นั้นต่างจากบิทคอยน์ตรงที่ XRP ใช้แบงค์หรือสถาบันการเงินที่เชื่อถือได้เป็น validator node แทนที่จะเป็นบุคคลทั่วไป  

วิธีการโอนก็ไม่ยาก สมมุติว่า แบงค์ A ต้องการโอนเงินจากบาทไปเป็นเยนให้แบงค์ B

แบงค์ A แปลงเงินบาทเป็น XRP ในตลาดไทย ตามมูลค่าเงินเยนที่แบงค์ B ต้องการ

แบงค์ A ส่ง XRP ให้แบงค์ B

แบงค์ B แลก XRP ไปเป็นเงินเยนกับ local exchange หรือ market maker (กลุ่มที่ได้กำไรจากผลต่างของราคาค่าเงินต่างๆ) ที่ถือเงินเยนและพร้อมจะซื้อ XRP จากแบงค์ B

พูดง่ายๆ ก็ไม่ต่างจากที่เราโอนเงินข้ามประเทศด้วยบิทคอยน์ โดยที่เราสามารถซื้อบิทคอยน์ในตลาดไทย โอนไป wallet ที่ญี่ปุ่น และถอนบิทคอยน์เป็นเงินเยนที่นั้นได้

ที่ต่างกันคือ บิทคอยน์ใช้เวลาโอนนาน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเหวี่ยงของมูลค่าบิทคอยน์ และในขณะเดียวกัน transaction fee ของบิทคอยน์นั้นสูงมากเมื่อเทียบกับ XRP

ข้อดีอีกอย่างของ XRP คือการลดความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นในการ settle เงินผ่านเอเจ้นท์ เช่นถ้าเอเจ้นท์ล้มละลายมีสิทธิทำให้เงินสูญหายได้  

Credit: xrpchat

ในตัวอย่างนี้ เราจะเห็นได้ว่า แบงค์เกาหลีนั้นไม่รับเงินเม็กซิกัน ทำให้เงินต้องผ่านเอเจ้นท์หลายต่อ ทำให้ช้ากว่า และแพงกว่า

 

ทำไม XRP ถึงน่าลงทุน

1. มูลค่าของ XRP จะเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะรองรับปริมาณเงินที่โอนระหว่างแบงค์

สมมุติว่าแบงค์ A จะโอนเงินให้แบงค์ B เป็นมูลค่า 500ล้านบาท แปลว่าแบงค์ A ต้องซื้อ XRP เทียบเท่ากับมูลค่านั้น ซึ่งไม่เป็นปัญหา เพราะปัจจุบัน เหรียญ XRP ในตลาดมีมูลค่าถึง 3.4แสนล้านบาท

แต่ถ้าเรานึกภาพว่ามีแบงค์หลายๆแบงค์เริ่มมาใช้ XRP ในการโอนเงินผ่าน Ripple network มูลค่า XRP ที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละวันสามารถสูงเกิน 3.4แสนล้านบาทได้ เท่ากับว่ามูลค่าต่อ 1 เหรียญ XRP จะต้องเพิ่มเพื่อรองรับมูลค่าการโอนเงินที่สูงขึ้น

เทียบกับตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ที่มีการแลกเปลี่ยนถึง $5.7 trillion หรือ 190ล้านล้านบาทต่อวัน มูลค่าของ XRPปัจจุบันนั้นน้อยไปเลยเมื่อวัดกับตลาดที่ Ripple กำลังจะเข้าไป

2. XRP จะมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ

ทุกครั้งที่มีการใช้ XRP เหรียญจำนวนนึงจะถูกหักเป็นค่า transaction fee ซึ่งแปลว่า XRP จะมีจำนวนลดลงเรื่อยๆต่อทุกครั้งในการใช้งาน และเนื่องจาก XRP ไม่ใช่เหรียญที่ขุดกันได้ จำนวน XRP จะมีแต่ลดลง ซึ่งทำให้มูลค่าต่อเหรียญสูงขึ้นในระยะยาว (ข้อแม้คือ มีการใช้ XRP เท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น)

3. มีแบงค์พาร์ทเนอร์มากมาย

เราอาจเห็นข่าวกันแล้วบ้าง นอกจากทาง Ripple จะออกมาบอกว่ามีมากกว่า 75แบงค์ที่เข้าร่วมทดสอบ Ripple protocol แล้ว เรายังเห็นข่าวล่าสุดที่แบงค์ไทยพานิชย์ของเราเองได้ทดสอบการโอนเงินกับญี่ปุ่นด้วยเทคโนโลยีนี้

แนวโน้มในอนาคตไม่ต่างกับ network effect ที่ว่าถ้ามีแบงค์กลุ่มใหญ่ๆเริ่มใช้ Ripple protocol มากขึ้น แบงค์อื่นๆก็จะตามมาใช้มากขึ้นเช่นกัน

 

ความเสี่ยง

1. Ripple ยังถือ XRP ที่ยังไม่อยู่ในตลาดมากกว่า 60%

แม้ว่า XRP มีจำนวนจำกัดและจะลดลงเรื่อยๆต่อการใช้งาน เรากลับเทรดกันในตลาดเพียง 30% ของจำนวนเหรียญทั้งหมด

เหรียญที่เหลือยังอยู่กับทางบริษัท Ripple ซึ่งจะค่อยๆปล่อย XRP ออกมาอย่างช้าๆ

เมื่อ XRP ถูกปล่อยออกมา ทำให้ปริมาณเหรียญที่เราเทรดได้เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลต่อราคาตลาด

2. มูลค่าในตลาดสูงมากแล้ว

XRP เป็นเหรียญอันดับสาม รองจาก ETH และ BTC

ปัจจุบันซึ่งเรายังไม่เห็นเหรียญไหนที่สามารถโค่นบิทคอยน์ได้ แปลว่าในระยะสั้นนั้น อาจจะยากที่มูลค่า XRP จะเติบโตอีกเป็นเท่าตัวหรือมากกว่านั้น ถ้ามูลค่าบิทคอยน์ยังไม่โตมากกว่านี้

3. Swift เริ่มให้ความสนใจใน Blockchain

Ripple อาจจะมาเพื่อฆ่า Swift แต่ในทางกลับกัน Swift เองก็เริ่มมาสนใจและกำลังจะทดสอบเทคโนโลยี Blockchain (Ref)

ต่างกัน Ripple ที่ต้องการกำจัด Nostro Account (บัญชีที่เก็บสกุลเงินอื่น เช่นแบงค์ไทย ต้องมีแอคเคาท์สกุลเงินเยน เพื่อที่จะรับเงินเยนได้) ด้วย XRP

ทาง Swift กลับต้องการทำให้ระบบเดิมทำงานให้ดีขึ้น

ซึ่งแปลว่าการแข่งขันในตลาดนี้จะมีแต่ดุเดือดเพิ่มขึ้นไปอีกสำหรับ Ripple

 

สรุปแล้ว คอยน์แมนคิดว่า XRP เป็นเหรียญที่น่าลงทุนในระยะยาว ทยอยช้อนได้

แม้ในระยะสั้นโอกาสโตทวีคูณอาจจะน้อยกว่าเหรียญที่มูลค่าต่ำอื่นๆ แต่เราก็เชื่อได้ว่า Ripple มีธุรกิจที่แก้ปัญหาจริงและดูมีอนาคต ดังนั้นความเสี่ยงจึงน้อยกว่าถือเหรียญที่คนไม่มั่นใจในทิศทางของโปรเจค หรือโปรเจคที่ยังไม่มีโปรดัคที่ใช้ได้จริง

ติดตามบทความใหม่ๆได้ที่ Facebook Page ของ คอยน์แมน นะครับ

https://www.facebook.com/coinmanth/