วัน ICO: 13 ตุลาคม 2017 (Whitelist ใน Slack ปิดวันที่ 30 กันยา และเริ่มลงทะเบียน KYC วันที่ 2 ตุลา)
Hard cap: 100,000 ETH (~$30m)
Website: https://request.network
ปัญหาที่แก้: ในปัจจุบัน สำหรับธุรกิจแล้วเวลาลูกค้าสั่งของหรือสั่งให้เราไปบริการอะไรซักอย่าง หากเราทำสำเร็จ เราก็จะส่ง invoice ไปให้ ซึ่งลูกค้าก็จะจ่ายเงินให้กับเรา
ทีนี้มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ถ้าเราต้องการให้ลูกค้าโอนเงินให้เราโดยตรง เราก็ต้องมอบข้อมูลบัญชีให้ หรือกลับกัน เราก็อาจจะขอข้อมูลลูกค้าแล้วเอามาหักเงินเอง ทั้งสองเคสนี้มีข้อเสียเช่น
- ไม่ปลอดภัย เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดี
- ร้านค้าสามารถหักเงินหลายๆรอบได้ เพราะถือข้อมูลลูกค้าอยู่
- ร้านค้าไม่รู้ว่าจะได้เงินเมื่อไหร่ ต้องมานั่งเช็คบ่อยๆว่าเงินเข้าแบงค์รึยัง (เป็นผลทำให้ธุรกิจขนาดเล็กล้มเพราะความล่าช้าในการจ่าย invoice จากบริษัทอื่น)
ถ้าเราให้ 3rd party เช่น PayPal, Stripe หรือบริษัทจัดการ invoice อื่นๆมาช่วยหละ มันก็ยังมีปัญหาอยู่ดีเช่น
- ค่า fee ที่แพง
- ข้อมูลของทั้งลูกค้าและบริษัทเราจะไปอยู่กับ 3rd party ซึ่งไม่ปลอดภัย (ถ้า 3rd party โดนแฮคข้อมูลเราก็โดนไปด้วย)
นอกจากนี้ยังมีปัญหาทั่วไปอื่นๆอีกเช่น
- ไม่มีการเชื่อมระหว่างระบบ ทำให้เราไม่รู้ว่ามีคนต้องการให้เราจ่ายเงิน หรือเงินที่จ่ายไปแล้วเข้าบัญชีเรารึยัง ยกเว้นแต่ทั้งคู่จะใช้ระบบเดียวกัน
- ไม่มี standard แน่ชัด ทำให้การ audit บัญชี การทำ tax ยุ่งยาก
- Invoice นั้นถูกเก็บและก้อปปี้ไว้หลายที่มาก ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกแก้ไข ข้อมูลไม่ตรงกัน
Request Network นั้นเข้ามาแก้ปัญหาโดยการสร้าง Protocol ที่ทำให้ทุกองค์กรสามารถเข้ามาดูและใช้งานฐานข้อมูลบัญชีกลางสำหรับ Invoice ที่อยู่บนบล็อคเชนได้ โดยเป้าหมายคือการใช้ Protocol นี้เชื่อมกับกับระบบซอฟแวร์ที่แต่ละองค์กรใช้กันอยู่แล้ว ไม่ได้ทำแอปใหม่ให้คนเปลี่ยนมาใช้แต่อย่างใด
ประโยชน์ของมันก็คือ
- การส่ง invoice การจ่ายเงินรับเงิน เราจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ อีกทั้งเรายังได้ข้อมูล transaction แบบ real-time อีกด้วย ว่าเงินอยู่ที่ไหน เข้าในบัญชีรึยัง
รูปข้างบนเป็นแค่ตัวอย่างแอปที่ทางทีมงานสร้างขึ้นมาให้เห็นภาพ แต่ในความเป็นจริง ระบบ Request Network จะสามารถเอาไปเชื่อมกับแอปที่มีอยู่แล้วได้
- จ่ายเงินออนไลน์ตามเวปต่างๆโดยผ่าน Request Network โดยที่ไม่พึ่งตัวกลางเช่น PayPal ทำให้ร้านค้าไม่โดนหัก fee แพงๆ
- ระบบ reputation ที่ทำให้เรารู้ได้ว่าบริษัทที่เราค้าขายด้วยนั้นน่าเชื่อถือในเรื่องการจ่ายเงินตรงเวลาและสม่ำเสมอขนาดไหน
- ทำ escrow ให้ได้อัตโนมัติโดยไม่ต้องพึ่งบริษัทอื่น (ล็อคเงินไว้ ไม่ให้จ่ายออกไปจนกว่าจะได้รับของ)
- เนื่องจากข้อมูลอยู่ที่เดียว และมี standard เดียวกัน ทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบได้ง่าย (หลีกเลี่ยงปัญหาการที่ข้อมูลบัญชีแต่ละฝ่ายไม่ตรงกัน) แม้กระทั่งการทำ audit ก็ทำได้ทันทีเช่นกันแบบ real-time
- ระบบ Request Network นั้นจะทำมาให้ใช้กับทุกสกุลเงินได้ ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินหลักหรือ Crypto
- ป้องกันการโกง เช่นการแก้ไขข้อมูล invoice หรือใบเสร็จต่างๆทีหลัง
- ปลอดภัย เพราะเราไม่ต้องให้ข้อมูลทางการเงินใคร
- ทำให้รัฐสามารถตรวจสอบ transaction แบบ real-time และทำ VATแบบอัตโนมัติได้ โดยที่บริษัทก็ไม่ต้องมานั่งยื่นตอนจบปี
- สามารถเปิดข้อมูลบางส่วนที่ต้องการให้ผู้คนทั่วไปเห็นได้เพื่อความโปร่งใส เช่นการใช้จ่ายของรัฐบาล (เป็นไปได้ยากในบ้านเรา)
- IoT (Internet of Things) สามารถใช้ระบบนี้ได้ในอนาคต นึกภาพของใช้ electronic รอบตัวเราสามารถตั้งราคาเซอร์วิสของมันเองและ request ให้เราจ่ายเงินได้แบบอัตโนมัติ
เหรียญมีไว้ทำอะไร:
เหรียญ REQ นั้นเป็นเหมือนเชื้อเพลิงสำหรับการใช้งาน Request Contract หรือ Extension ต่างๆ (เช่น Escrow, VAT, Downpayment) ซึ่ง fee นั้นจะอยู่ที่ประมาณ 0.1-0.5% เงินนั้นจะถูกกระจายไปให้นักพัฒนา extension 30% และอีก 70% จะส่งมาให้กับผู้ถือเหรียญที่ช่วย validate network
ในขณะเดียวกัน REQ จะถูกนำมาใช้คล้ายๆกับ XRP (Ripple) ด้วยในการ settle หนี้จากหลายฝ่ายแบบอัตโนมัติ เช่น A ติดเงิน B แล้ว B ติดเงิน C แล้ว C ติดเงิน A ซึ่งโดยปกติแล้วต่างคนต้องต่างโอนชำระหนี้กับอีกฝ่ายกันเอง แต่ระบบนี้สามารถแปลงเงินจาก A ที่จะให้ B เป็น REQ หลังจากนั้นคำนวณหักลบหนี้แล้วกระจายให้ทั้ง A B C ในที่สุด โดยที่ไม่ต้องโอนเงินกันหลายฝ่ายให้วุ่นวาย
ทำไมถึงน่าลงทุน:
- Request Network นั้นเป็น protocol ไม่ใช่แอป ดังนั้นทีมงานไม่จำเป็นต้องให้องค์กรเปลี่ยนซอฟแวร์ที่ใช้ ทำให้หาลูกค้าได้ง่ายขึ้น
- ตลาดใหญ่ และยังไม่มีคู่แข่งโดยตรง
- Invoice นั้นเป็นปัญหามาก โดยเฉพาะสำหรับบริษัทขนาดเล็กถึงกลาง(SME) ที่ล้มมาเยอะเพราะไม่ได้รับเงินซักที
- บริษัทได้เข้าร่วม YCombinator ที่ Silicon Valley เมื่อต้นปี และก่อนหน้านี้ที่ ING Bank Accelerator ถือว่าไอเดียนี้ต้องผ่านเกณฑ์ระดับนึงเลยทีเดียว
- Slack ตอนนี้มีเกิน 10,000 คนแล้ว
- สร้างโดยใช้ 0x Civic และ Aragon (ทำให้ช่วยกันโปรโมทง่ายขึ้น)
ความเสี่ยง:
- ดูจาก Roadmap แล้ว กว่าจะมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันจริงๆก็กลางปีหน้า
- มี Alpha Prototype แต่ยังถือว่าห่างไกลกับการใช้งานจริงอยู่มาก ทำให้น่ากังวลว่าทีมงานจะทำได้จริงรึเปล่า
- ไม่มี Advisor ดังๆแบบบางโปรเจค (แต่จริงๆก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ดี แค่ว่ากระแสอาจจุดยากกว่าโปรเจคที่มี)
- การที่โปรเจคนี้จะประสบความสำเร็จได้ ทีมงานต้องประสานงานกับองค์กรจำนวนมากเพื่อเชื่อมระบบด้วย เช่นธนาคาร ระบบจ่ายเงิน กระเป๋าเงิน ระบบบัญชี เว็ปไซต์และแอปต่างๆ ซึ่งทำได้ยาก
ราคาตอนเข้า Exchange: ราคาไม่น่าจะพุ่งตอนเข้า เพราะคนยังรู้จักน้อยและมันยังไม่มีผลงานออกมาในเร็วๆนี้ บวกกับ ICOที่เยอะมาก การเข้าแล้ว 3เท่าแบบเมื่อก่อนคงยาก ยกเว้นกระแสแรงจริง (ต้องดูกระแสตอนใกล้ๆอีกที บวกกับมันล็อคให้คนซื้อคนละเท่าไหร่)
ราคาระยะยาว: ถ้าทางทีมงานทำตาม roadmap ตัวเองได้และเริ่มมีอะไรมาโชว์ภายในปีนี้ ราคาน่าจะเริ่มขึ้นเรื่อยๆ ระยะยาวหากไอเดียนี้ทำสำเร็จ มีการใช้งานจริงภายในกลางปีหน้า คาดว่าราคาไปได้เกิน 20-30เท่าได้ครับ (ด้วย market cap ประมาณ $1bn)
สรุป: คอยน์แมนอาจจะซื้อตอน ICO (แต่ไงก็ไป whitelist ไว้ก่อน จะซื้อไม่ซื้อว่าอีกทีครับ)
**อธิบายเรตของคอยน์แมน
- คอยน์แมนปล่อยผ่าน
- คอยน์แมนอาจจะซื้อตอนเข้า Exchange
- คอยน์แมนอาจจะซื้อตอน ICO
- คอยน์แมนซื้อ ICO แน่นอน
แทนที่จะมีเรตติ้งซับซ้อน ผมขอใช้การตัดสินใจส่วนตัวแทนเลยละกันครับ
DYOR (Do Your Own Research) หรือค้นหาข้อมูลด้วยตนเองเสมอ แล้วเอามาเปรียบเทียบก่อนที่จะลงทุนอะไรทุกครั้งนะครับ
ไม่ควรซื้อตามใครโดยที่ไม่เชคทั้งสิ้น และที่สำคัญ อย่าลงเงินมากกว่าที่ตัวเองจะเสียได้นะครับ
ติดตามบทความใหม่ๆได้ทางเพจคอยน์แมนครับ