เพียงแค่เดือนเดียวหลังจากเปิดปีใหม่มา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมายในตลาด เรามาดูกันนะครับว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาบ้าง
Correction ครั้งใหญ่ต้อนรับ 2018
ตามภาพกันเลยนะครับ ในช่วงคริสมาสต์และปีใหม่ น่าจะเฮฮากันเต็มที่ทุกคน เนื่องจาก Alt party ที่พวกเรารอคอยมานานได้มาเยือนซักที ตลาดนั้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ $800bn+ เลยทีเดียว
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เราก็พบกับ correction ครึ่งใหญ่ มูลค่าตลาดหายไปครึ่งนึงในเวลาไม่ถึงสองอาทิตย์
ทำไมถึงเรียกว่า Correction?
ตลาดมันขึ้นมาเยอะมากแล้วครับจากเงินใหม่ที่เข้ามา ลองคิดดูว่าต้นเดือนพฤศจิกายน มูลค่าตลาดยังไม่ถึง $200bn เลยครับ ขึ้นมาขนาดนี้แล้วมันต้องมีคนทำกำไรบ้าง (ตลาดร่วงลงมาถึง $400bn แต่อย่าลืมว่าช่วงเดือนธันวาคม มูลค่าตลาดก็อยู่ที่ประมาณนั้นเองครับ) อย่างไรก็ตามหลังจากตกไปที่จุดต่ำสุด ตลาดก็ sideway แกว่งแบบนี้ไปจนจบเดือน
คอยน์แมนคิดว่าการเกิด correction เป็นครั้งเป็นคราวนับเป็นผลดีต่อตลาด Crypto โดยรวม เพราะมันทำให้นักลงทุนกลับมาใช้เหตุผลในการลงทุนกันมากขึ้น ทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะมือใหม่ได้ระวังตัวกันในภายภาคหน้าเวลาซื้อตามๆกันในขาขึ้น ถ้าไม่ระวังก็ดอยกันยาวเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม คอยน์แมนคิดว่าปีนี้ตลาดยังเป็นขาขึ้นอยู่ครับ (2018 นี่คือปีทองของ Crypto เลยครับไม่ต้องห่วง)
Altcoin มีอะไรเด่นๆบ้าง
ในเดือนนี้เราได้เห็นเหรียญที่ทำ All time high ร่วงลงมาเกือบหมดทุกตัว บางตัวลงหนักๆก็ 60-70% กันเลยทีเดียว แต่ทว่า เราก็ยังมีบางตัวที่ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง นั้นก็คือเหรียญสาย Logistics & Supply Chain เช่น WTC และ VEN ที่ขึ้นสวนกระแส
เหตุผลก็คือคนเริ่มเห็นว่าอุตสาหกรรม Logistics และ Supply Chain นั้นมีขนาดใหญ่ระดับล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว อีกทั้งเหรียญพวกนี้เวลาพาร์ทเนอร์กับใครจะเป็นยักษ์ใหญ่ทั้งนั้น (สายนี้มันพาร์ทเนอร์ได้แต่ใหญ่ๆอยู่ละ) ทำให้เหรียญพวกนี้ดูมีศักยภาพการเติบโตสูงและอนาคตไกลครับ โดยเหรียญใหม่ที่น่าจับตามองก็มี OriginTrail และ CargoX ที่กำลังจะเข้าตลาดเร็วๆนี้
เกาหลีไม่ปั่นตลาดแล้วหรอ
ก่อนหน้านี้มีข่าวเกาหลีแบน Exchange แต่สุดท้ายคือออกกฎระเบียบอย่างดีให้กับประเทศ นี่เป็นตัวอย่างที่ดีที่รัฐไม่ได้แบนการเทรด Crypto เลยทีเดียว แต่เพียงต้องการป้องกันการฟอกเงินโดยสร้างกฎข้อบังคับที่ทาง Exchange ต้องทำตาม แฟร์ดีครับ
เราสามารถหวังได้เลยว่าเดือนหน้าเกาหลีเข้ามาซื้อกันอย่างบ้าคลั่ง (คนที่นั้นพึ่งผ่าน KYC กันเป็นหมื่นๆ) แม้แต่ coinmarketcap ก็เพิ่ม Exchange เกาหลีกลับมาเรียบร้อย คอยน์แมนยังคิดว่ามีแนวโน้มว่าที่ Exchange เกาหลีจะลิสเหรียญเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย (ICON!?)
USDT ป่วนตลาด?
จริงๆแล้วตลาดก็เริ่มมาฟื้นตอนสิ้นเดือน แต่ไม่ทันไรโดนทุบอีกแล้วเนื่องจากสื่อหลักๆเริ่มออกข่าวเกี่ยวกับ USDT (US dollar tether)
โดยไม่กี่วันก่อนก็ออกมาบอกว่าถ้าไม่มี USDT มาปั่น มูลค่าบิทคอยน์มีสิทธิตกไปมากกว่า 80% เลยทีเดียว มาวันนี้เลยออกข่าวต่อว่า Bitfinex และ Tether นั้นโดยหมายศาลที่อเมริกา (ทั้งๆที่เป็นเรื่องเก่าตั้งแต่ต้นเดือนธันวาแล้ว) ผลก็คือคนตกใจเทขายกันอย่างที่พวกเราเห็นครับ
จริงๆแล้วเรื่อง USDT นี่คอยน์แมนเองก็เตือนให้ระวังตั้งแต่บทความสรุปตลาดก่อนๆแล้วนะครับ ว่าตลาดร่วงครั้งหน้าก็อาจจะเป็นเพราะ USDT เนี่ยแหละ แม้ว่าบางคนจะคิดว่าไม่ควรมีผลขนาดนั้น (ซึ่งมันก็จริงครับ) แต่อย่าลืมว่าตลาดนี้ขี้ตกใจ กลัวกันง่ายครับ
เทรนด์ ICO
ICO Rush กลับมาอีกครั้ง
เดือนนี้ถือว่าเป็นเดือนที่ ICO แน่นที่สุดเดือนนึงเลยก็ว่าได้ครับ ถึงแม้ว่าตลาดจะเกิดการ correction ครั้งใหญ่แต่ความร้อนแรงของการลง ICO ไม่ได้น้อยลงเลย โปรเจคที่กระแสแรงส่วนใหญ่สามารถระดมทุนได้ตามเป้าภายในเวลาไม่กี่วินาที หลายๆคนก็ได้เรียนรู้แล้วว่า Gas War แย่งชิงกันลง ICO นั้นมันโหดเพียงใด
ช่องทางหลักในการทำ ICO ส่วนมากก็ยังคงเป็นบน Ethereum แต่ว่าเราก็ได้เห็นการระดมทุนผ่าน NEO มากขึ้นถึงแม้ว่ามันจะยังไม่ราบรื่นเหมือน ETH (ทั้งตัว NEO Blockchain รับ traffic ไม่ไหว ทั้ง NEO Wallet ที่ยังไม่ค่อยพร้อมกับการรับคนมากๆและลง ICO)
ทำไม ICO ยังร้อนแรงแม้ว่าตลาดยังแดงอยู่? ตอนนี้นักลงทุนส่วนใหญ่รู้แล้วว่า ICO คือช่องทางที่พวกเขาจะสามารถลงทุนในโปรเจคใหม่ในราคาที่ถูกที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูก เพราะว่าการลงทุนในเหรียญ ICO ที่เริ่มไม่ถึง $50m ล้วนให้ผลตอบแทนระยะสั้นได้ดีกว่าเหรียญที่อยู่ในตลาดและมีมูลค่าสูงอยู่แล้ว ยิ่งถ้า ICO นั้นกระแสแรงๆ พอเข้า Exchange ปั้ปราคาขึ้น 2-3เท่าให้เห็นในทันที
เมื่อเห็นผลตอบแทนที่ให้ผลเร็วทันใจแบบนี้ นักลงทุนจึงเน้นการ flip และมุ่งไปหาการหา ICO เพชรเม็ดต่อไปในกอง ICO จำนวนมหาศาล สิ่งนี้ทำให้เงินไหลออกจากเหรียญเก่าๆด้วย ย่างไรก็ตามเหรียญที่เป็นสกุลเงินสำหรับทำ ICO อย่าง ETH กับ NEO กลับได้รับผลประโยชน์จากเทรนด์นี้ ทำให้ไปแตะ ATH ในเดือนนี้ทั้งสองตัว
แต่ในระยะยาวนั้นก็อีกเรื่องนึงครับ ผลตอบแทนที่นักลงทุนมองไม่ใช่แค่ 2-3เท่า แต่อาจเป็น 50เท่าขึ้นไป ซึ่งคนที่รีบ flip นั้นจะไม่เห็นแน่นอน ซึ่งเรายังจำเป็นต้องดูคุณภาพโปรเจคอยู่ นึกภาพถ้าสมมุติผมถือเหรียญ ICO ที่พึ่งเข้าตลาด 10เหรียญ แล้วตลาดเกิดการ Correction ผมอาจจะเลือกที่จะขายทั้งหมดรีบทำกำไร หลังจากนั้นพอตลาดเริ่มจะฟื้น ผมก็เอาเงินไปซื้อเหรียญกลับ แต่ถามว่าผมจะซื้อกลับทั้ง 10 ไหม ก็คงไม่ ผมก็คงเลือกเหรียญที่คิดว่าดีระยะยาว ซื้อกลับไม่กี่ตัว คนอื่นก็คิดงี้ครับ ดังนั้นตัวแย่ๆก็จะโดนทิ้ง
การเปลี่ยนแปลงของลักษณะระดมทุน
เพราะความร้อนแรงของ ICO นี้เองทำให้โปรเจคดังๆเริ่มจะเล่นตัวได้มากขึ้นครับ เราจะเริ่มเห็นเปอเซนต์ของรอบ private/pre-sale นั้นจะมากกว่า Public sale เยอะขึ้นเรื่อยๆ(เช่น hard cap $30m แต่ pre-sale ไปแล้ว $25m) บางอันมีแต่ private sale แล้วเข้า Exchange เลยก็มี
บางโปรเจคพอถึงเวลา public sale แล้ว ETH ราคาขึ้นทำให้เงินระดมมทุนที่ได้จากการ pre-sale มาแล้วทะลุเป้าซะงั้น (เป้าระดมทุนส่วนใหญ่ตอนนี้ยึดหน่วย USD) จึงใช้การ Airdrop แทน public sale เนื่องจากว่ามันดูแฟร์กว่า หรือบางทีเป็นเพราะเหรียญที่ขายเหลือน้อยเกินกว่าจะให้ทุกคนแย่งกัน ส่วนบาง ICO ก็ยังทำ Public sale อยู่ดีแต่ให้คนละ 0.2-0.6 ETH T^T
เหตุผลที่เราเริ่มเห็น ICO ทำแบบนี้มากขึ้น
- ความโลภที่ต้องการ secure เงินทุนจากรายใหญ่
- การมี Public sale ไว้เพื่อสร้างกระแสเท่านั้น ลองนึกดูว่าเหรียญส่วนใหญ่ถูกขายไปแล้ว แต่ทีมงานก็ยังเหลือนิดนึงเพื่อให้คนทั่วไปนั้นออกมาแย่งกัน สร้างกระแสโปรเจคตัวเองแบบง่ายๆ
- ต้องการเลี่ยงปัญหากฎหมาย เพราะถ้ารับเงินจากพวก Accreditted investor ผ่านฟอร์ม SAFT อย่างเดียว และเอาเหรียญไปลง Exchange ทันที จะทำให้ ICO พวกนี้เลี่ยงปัญหากฎหมาย ICO ได้ พูดง่ายๆไม่เสี่ยงผิดกฎหมายนั้นเอง (เราจะเห็น ICO จีนทำงี้กันเยอะมาก)
- ต้องการเลี่ยงปัญหาจากการรับมือกับคนหมู่มาก การจะรับมือกับนักลงทุน 10 คนย่อมง่ายกว่ารับมือกับนักลงทุน 100 คนใช่ไหมครับ
ผลก็คือ คนพยายามแย่งกันเข้าช่วง private sale มากขึ้น (เงินไม่พอก็ตั้ง pool ร่วมกับเพื่อนๆกัน) หรือไม่ก็ pre-sale เพราะได้เปรียบกว่าพวกลง public sale ที่ลงได้น้อยเหลือเกินต่อคน
การตื่นตัวเรื่อง ICO ในประเทศไทย
เดือนนี้นับเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับวงการ Crypto ของประเทศไทยครับ เราได้เห็นท่าทีในทางบวกของ ก.ล.ต ต่อการทำ ICO ซึ่งก็คือการเปิดรับ ศึกษาและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เรายังได้เห็นบริษัทต่างๆเริ่มที่จะสนใจการระดมทุนรูปแบบนี้มากขึ้น ล่าสุด Jaymart Holding ซึ่งเป็นบริษัทแรกในตลาดหลักทรัพย์ได้เข้ามาระดมทุนให้กับบริษัทลูกผ่านทาง ICO
นอกจากนี้เรายังได้เห็นบริษัทแนว ICO consulting อย่าง ICORA ที่มี Co-Founder ระดับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณ กรณ์ จาติกวณิช เข้ามาในวงการ บริษัทใหม่ๆเหล่านี้ อาจจะยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรอย่างชัดเจน แต่ว่าข่าวการเข้ามาในวงการของพวกเขาก็ทำให้สื่อหลักๆต้องหันมาจับตามอง
ผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของวงการ Crypto ประเทศไทยตอนนี้คงไม่พ้นเรื่องของการพิสูจน์ว่า Blockchain Technology และ Cryptocurrency นั้นคือของจริง มันไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ และไม่ใช่สกุลเงินมืด
**แต่ก็ต้องระวังพวก scam หรือพวกบริษัทที่หิวเงิน คิดว่าการทำ ICO ได้เงินง่ายแล้วมาทำกันตามกระแสนะครับ
ปิดท้าย
มาดูบทเรียนสำหรับเดือนนี้กันครับ
- อย่าไล่ซื้อตอนเหรียญมันขึ้นไปเยอะแล้ว บางคนเห็นเหรียญเขียวมาหลายวัน ขึ้นไป 2-3 เท่าก็ยังเข้าไปซื้อ ซึ่งมันอันตรายมากครับ
- ซื้อตอนที่ตลาดแดง ตอนที่คนกลัวแล้วเทขาย การเข้าจังหวะแบบนี้เราจะเซฟกว่าคนอื่นเยอะครับ เพราะต่อให้มันตกต่อ อาจไม่ได้ราคาที่ถูกที่สุด แต่พอตลาดเด้งกลับ เราก็จะกำไรก่อนคนอื่น ไม่ต้องมานั่งติดดอยแล้วเสียโอกาสครับ แต่ว่าเราไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้กับเหรียญทุกตัวนะครับ เหรียญที่ไม่มีคุณภาพบางตัวถูกปั่นขึ้นมาให้ราคาสูงเว่อ ถ้าเราไปซื้อตอนคนทิ้งกัน มันอาจจะไม่มีโอกาสกลับมาที่ราคาที่เราซื้ออีกก็ได้
- เอากำไรจาก ICO ไปซื้อเหรียญที่มั่นคงหรือเหรียญใหญ่ๆบ้าง เพราะถ้าเกิด ICO กลับเข้าสู่ยุคมืดอีกครั้งแล้วเงินเราอยู่แต่เหรียญเล็กๆพวก ICO เราจะทั้งขาดทุน ทั้งเงินจมขายออกไม่ได้นะครับ (ไม่มี buy order)
- ตัวเลือก ICO นั้นเยอะ อันไหนดู scam เราก็ผ่านๆได้นะครับ อย่าไปกลัวว่าจะพลาด เอาปลอดภัยไว้ก่อน ดีๆมีอีกเยอะครับ
อย่างไรก็ตาม คอยน์แมนเชื่อว่าเดือน 2-3 เราจะได้เฮฮาปาตี้กันอีกครั้งครับ 🙂
ติดตามบทความใหม่ๆได้ทางเพจคอยน์แมนครับ