วิเคราะห์เหรียญ

[วิเคราะห์ ICO] BnkToTheFuture – ขายหุ้นด้วย ICO

ข้อมูล ICO

ICO date: 16 กุมภาพันธ์ 10 p.m. UTC >>> ตี5 เวลาไทย วันที่ 17

Whitelist: 6 – 13 กุมภาพันธ์ 10 p.m. UTC >>> ตี5 เวลาไทย วันที่ 7 – 14

Hard cap: $33m

  • Pre-sale: $30m
  • Public-sale: $3m (ขั้นต่ำ $1,000 และลิมิตต่อคนที่ $10,000)
  • ราคาน่าจะล็อค 1วันล่วงหน้า และใช้ ETH ในการลง
  • ราคาทุกคนได้เท่ากันคือ $0.1 ต่อเหรียญ ไม่มีโบนัสให้ใคร

ภาพรวมของโปรเจค

BnkToTheFuture คืออะไร

BnkToTheFuture เป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้ Startup สามารถระดมทุนขายหุ้นในรูปแบบ ICO ได้อย่างถูกกฎหมาย และในขณะเดียวกัน นักลงทุนสามารถเอาเหรียญหุ้นของบริษัทต่างๆเหล่านี้ไปเทรดได้ในทันที

จุดอ่อนของ ICO ในปัจจุบัน

จากชาร์ทนี้ เราเห็นได้ว่ามูลค่าการระดมทุนจาก ICO นั้นเติบโตมากขึ้นทุกวัน เหตุก็เพราะมันทำให้บริษัท Startup (บริษัทเกิดใหม่ที่มีโอกาสเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่มีโมเดลธุรกิจหรือรายได้ที่ชัดเจน) สามารถระดมทุนปริมาณมากได้สำเร็จจากนักลงทุน (หรือนักพนัน) ทั่วมุมโลกในระยะเวลาสั้นๆ และที่สำคัญที่สุด ได้เงินง่ายกว่าจากพวก Angel Investor (นักลงทุนรายบุคคลมืออาชีพ) หรือ Venture Capitalist (บริษัทที่จัดการเงินร่วมลงทุนจากนักลงทุนต่างๆ)

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีคนมากมายมองว่า ICO นั้นไม่ได้ให้อะไรแก่นักลงทุนเลย เพราะเหรียญมันไม่ได้ให้มีสิทธิการเป็นหุ้นส่วนของบริษัทที่ลงทุนไป ต่างจากการระดมทุน IPO ที่คนซื้อได้หุ้นส่วนของบริษัทมหาชนนั้นจริงๆ

ในความเห็นคอยน์แมนนั้น ไม่ใช่ว่าบริษัทเหล่านี้ไม่อยากให้หุ้นส่วน หรือไม่อยากให้ปันผลกับนักลงทุน แต่มันติดเรื่องกฎหมาย (เช่นรัฐห้ามคนอเมริกันลง ICO) หรือ Exchange ดังๆส่วนมากไม่รับลิสเหรียญที่มีลักษณะใกล้เคียงกับหุ้น (เพราะกลัวปัญหาทางกฎหมายจากภาครัฐเช่นกัน)

ผลก็คือ ICO ต้องขายเหรียญที่เป็นแนว Utility แทน ซึ่งเราจะเห็นได้เลยว่าบางโปรเจคนั้นจะดูเหมือน “ฝืนใช้” blockchain หรือทำให้ระบบตัวเองมีการใช้เหรียญทั้งที่ไม่มีความจำเป็น

**โมเดลปันผลนี่ถือว่าง่ายและเป็นประโยชน์กับคนถือเหรียญแบบคำนวณได้ชัดเจน เช่นเหรียญ KCS ของ Kucoin ที่แบ่งรายได้ให้ ไม่ต้องมานั่ง speculate ราคาแบบพวกเหรียญ Utility ที่วัดยากว่าเหรียญควรมูลค่าเท่าไหร่

**แต่ก็อย่าเพิ่งไปเหมารวมว่าเหรียญ Utillity ไม่ดีทั้งหมดนะครับ หลายๆโปรเจคก็มีการวางแผนมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะขายเหรียญ Utility เพราะมันเอามาใช้แก้ปัญหาธุรกิจของเขาได้ และได้มีการออกแบบมาเพื่อให้มูลค่าของมันเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของธุรกิจหรือการใช้งาน

BnkToTheFuture เข้ามาช่วยยังไง

1. ทำให้ Startup ระดมทุนด้วยการขายหุ้นในรูปแบบ ICO ได้

BnkToTheFuture เป็นแพลตฟอร์มที่เข้ามาเชื่อม ICO กับกฏหมายหุ้นส่วน โดยวิธีที่ BnkToTheFuture ใช้คือการเป็น Custodian ถือหุ้นของบริษัท Startup ไว้ แล้วแปลงหุ้นให้กลายเป็น Equity Backed Token หรือพูดง่ายๆก็คือ แปลงหุ้นให้กลายเป็นเหรียญ Crypto 

ที่ทำได้ก็เพราะว่าทางบริษัทมีใบอนุญาติ ที่ทำให้นักลงทุนซื้อหุ้นบริษัทจากแพลตฟอร์มของมันได้ในรูปแบบของเหรียญ ซึ่งคนที่ถือเหรียญนี้ก็จะมีสิทธิของผู้ถือหุ้นจริงๆ เหมือนกับถือหุ้นบริษัทมหาชน

ผลก็คือนักลงทุนรายบุคคลอย่างพวกเราสามารถลงทุนใน Startup ได้ ไม่ติดปัญหากฏหมายอีกต่อไป ลองนึกภาพดูถ้าเราสามารถถือหุ้น Facebook ตั้งแต่มันเป็น Startup เล็กๆ เมื่อมันโตเต็มที่แล้วมูลค่ามันจะสูงขึ้นขนาดไหน

นอกจากนี้ Startup ที่ไม่ใช่สาย blockchain ก็ไม่จำเป็นจะต้องฝืนใช้ Utility Token อีกต่อไปซึ่งก็เป็นผลดีกับตัว Startup เองแล้วก็นักลงทุนอีกด้วย

อีกทั้งข้อดีของมันไม่ใช่หยุดแค่เหรียญในรูปแบบหุ้น เพราะว่า BnkToTheFuture นั้นจะเปิดขายเหรียญ ICO ทั่วไปด้วยเช่นกัน แปลว่าทุกเหรียญที่ BnkToTheFuture ลิสนั้นนักลงทุนใน US สามารถลงได้ทุกตัว

ใครที่รู้จัก Kickstarter ก็น่าจะคุ้นเคยว่ามันมีบริษัทมากมายมีไอเดียดีๆ แต่ไม่มีเงินทุน ซึ่ง Kickstarter ก็เข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้สำหรับพวก Hardware Startup แต่สำหรับบริษัทด้าน FinTech หรือ Blockchain ที่เน้นซอฟแวร์นั้นยังต้องพึ่งเงินจาก Angel investor และ VC เพื่อรันบริษัทในช่วงแรกที่ยังไม่มีผลงานหรือมีรายได้พอเลี้ยงตัวเอง ด้วย BnkToTheFuture เราสามารถทำให้บริษัทด้านซอฟแวร์ระดมทุนจากนักลงทุนบุคคลทั่วไปได้เหมือนกับ Kickstarter โดยแลกกับเหรียญหุ้น

2. ทำให้เทรดหุ้นของ Startup ได้

ถ้าเราลงทุนแลกกับหุ้นบริษัท Startup เงินเราจะจมไปหลายปีเลยทีเดียว นั้นเป็นเพราะว่าเราต้องรอ Startup นั้น exit ในที่นี้คือบริษัทเข้าสู่ตลาดหุ้น หรือว่ามีการขายบริษัท (นึกภาพ Google ซื้อ Startup ที่เราลงทุนไป)

BnkToTheFuture เข้ามาแก้ปัญหานี้โดยการสร้าง Exchange สำหรับให้ซื้อขายหุ้นของบริษัท Startup เหล่านี้ พูดง่ายๆคือเราสามารถเอาเหรียญหุ้นของ Startup มาเทรดได้เหมือนเหรียญ Crypto อื่นๆนั้นเอง เงินเราก็ไม่จมอีกต่อไป

**เหรียญหุ้นเหล่านี้จะเทรดได้แต่ในแพลตฟอร์มของ BnkToTheFuture เท่านั้น (เทรดกับ Crypto สกุลอื่นๆ หรือ USD ก็ได้!)  

เหรียญมีไว้ทำอะไร และจะมีมูลค่าเพิ่มได้อย่างไร

เหรียญ BFT มีไว้ทำหน้าที่หลักๆ 4 อย่าง

  1. นักลงทุนที่มีเหรียญ BFT จะได้สิทธิพิเศษ VIP (เช่นได้ลงก่อนคนอื่น แต่ทางทีมงานยังไม่บอกว่าต้องใช้เท่าไหร่)
  2. ใช้โหวตเลือกว่า Startup ไหนหรือเหรียญไหนจะได้เข้ามาลิสขายแพลตฟอร์ม
  3. ให้รางวัลกับคนที่ช่วยทำ Due Diligence (ตรวจเชคข้อมูล เช่นว่า Scam รึเปล่า)
  4. ให้รางวัลกับ Startup  หรือบริษัทในแพลตฟอร์มที่อัพเดทข่าวสารให้นักลงทุนได้ดี (คล้ายๆพยายามจะสร้างมาตรฐานให้บริษัทอัพเดทสม่ำเสมอเหมือนกับหุ้นมหาชนทั่วไป)

มูลค่าของเหรียญจะเพิ่มขึ้นได้เมื่อมีนักลงทุน เข้ามาใช้แพลตฟอร์มมากขึ้น

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ BnkToTheFuture ไม่ได้ออกแบบกลไกที่จะทำให้คนอยากถือเหรียญ BFT เอาไว้ และตัวเหรียญเองก็ไม่ได้มีมูลค่าในตัวเองด้วย กล่าวคือมันเอาไปทำอะไรไม่ได้นอกจากให้รางวัลกับผู้เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มเท่านั้น ผู้ถือเหรียญ BFT ในจำนวนที่เยอะก็ไม่ได้มีสิทธิพิเศษอะไรมากขึ้นในการลงทุนโปรเจคใหม่ๆ

สรุป

ทำไมถึงน่าลงทุน

  • เป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งฝั่งนักลงทุนและฝั่ง regulator แก้ปัญหาทางกฎหมายตรงนี้ได้ดีมากๆ
  • น่าจะมี Startup จำนวนมากที่สนใจระดมทุนด้วยวิธีนี้ เพราะได้เงินง่ายเหมือน ICO แถมไม่ต้องฝืนใช้ blockchain ในระบบถ้าไม่จำเป็น
  • เป็นผู้นำตลาดในด้านนี้ มีชื่อเสียงในวงการ (ขนาดยังไม่ได้ทำการตลาด Pre-sale ก็ยังขายหมดในเวลาไม่ถึงวัน)
  • มีแพลตฟอร์มที่ใช้งานได้อยู่แล้ว เหลือแค่ intergrate BF token เข้ามา
  • ทีมงานและที่ปรึกษามีคุณภาพ แม้โปรไฟล์ทีมงานอาจไม่ว้าวเท่าอันอื่น แต่การที่เค้าสร้างแพลตฟอร์มให้มีคนใช้งานจริงได้ สำหรับคอยน์แมนแล้วก็น่าเชื่อถือมากกว่าโปรเจคส่วนมากละครับ
  • มีนักลงทุนใช้แพลตฟอร์มนี้ลงทุนไปมากกว่า $260m จากนักลงทุนมากกว่า 48,000 คน
  • มีพอร์ตบริษัทที่เคยลงทุนไปมากกว่า 100 บริษัท
  • โอกาสได้ list ใน exchange ดังๆสูง เพราะมันเป็นหุ้นส่วนอยู่แล้ว (Bitfinex, Kraken, BitStamp, ShapeShift, BitPay)

ความเสี่ยง

  • เหรียญ BFT นั้นถูกใช้เป็นค่าตอบแทนให้กับ community ที่ช่วยกรั่นกรองโปรเจคตามแบบที่กล่าวไปในข้างต้น มันเลยดูไม่ค่อยมีมูลค่ามากเท่าไหร่ ผลก็คือ Market cap ของ BFT อาจไปไม่สูงมาก (ในตลาด Crypto บางทีคนก็ปั่นราคาเหรียญโดยไม่แคร์ว่ามันทำอะไรได้ ส่วนตัวคอยน์แมนก็คิดว่าไปได้ไกลด้วยกระแส แต่บทวิเคราะห์นี้ขอออกความเห็นตามหลักการนะครับ ใน ICO list ของคอยน์แมนก็ปรับลด value score ตามรีวิวนี้แล้ว)
  • ผู้ถือเหรียญ BFT ในจำนวนที่เยอะก็ไม่ได้มีสิทธิพิเศษอะไรมากขึ้นในการลงทุนโปรเจคใหม่ๆ ทำให้ไม่มีเหตุผลทีคนจะสะสมเหรียญ
  • การซื้อขายหุ้นส่วนในบริษัทอาจจำกัดแค่ใน US เท่านั้น (ในอนาคตอาจจะขยายได้ แต่อาจไม่ง่ายนัก หรืออาจจะมีคู่แข่งโผล่ขึ้นมาในประเทศต่างๆ)
  • ในอนาคต การซื้อขาย Token ที่เป็น Equity based หรือหุ้นส่วนบริษัทอาจจะไม่ฮิตกับบริษัทด้าน FinTech หรือ Blockchain ก็ได้ เพราะคนเคยชินกับการซื้อเหรียญ ICO ประเภทอื่น โดยที่ไม่ได้แคร์เรื่องหุ้นส่วนอยู่แล้ว

ระยะสั้น

ระยะสั้นน่าจะปลอดภัยไม่ขาดทุน ส่วนเรื่อง Flip ทำกำไรนั้นต้องอาจดูอีกทีว่าทางทีมงานทำการตลาดขนาดไหน เพราะตอนนี้คนยังถือว่ารู้จักน้อยมากถ้าเทียบกับ ICO กระแสแรงๆตัวอื่นๆ

ระยะยาว

คอยน์แมนค่อนข้างมั่นใจว่าในปีนี้เหรียญ ICO ประเภทหุ้นที่ถูกต้องตามกฎหมายน่าจะเริ่มมาแรงนะครับ ดังนั้นเราสามารถถือ BFT ในระยะยาวได้ แต่เราก็ต้องระวังไว้ 2 อย่าง

  • ถ้าต่อไปแพลตฟอร์มใช้ได้สมบูรณ์แล้ว แต่ผู้ใช้ไม่ซื้อ BFT เก็บไว้เพราะ BFT นั้นอาจไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้ถือเหรียญเท่าไหร่ มูลค่าก็อาจจะตกได้ครับ
  • คอยดูคุณภาพและจำนวน ICO หรือเหรียญที่ถูกลิสบนแพลตฟอร์ม ถ้ามันไม่ค่อยดี หรือมีคู่แข่งที่ดีกว่า เราก็อาจจะไม่ควรถือในระยะยาวครับ

 

DYOR (Do Your Own Research) หรือค้นหาข้อมูลด้วยตนเองเสมอ แล้วเอามาเปรียบเทียบก่อนที่จะลงทุนอะไรทุกครั้งนะครับ

ไม่ควรซื้อตามใครโดยที่ไม่เชคทั้งสิ้น และที่สำคัญ อย่าลงเงินมากกว่าที่ตัวเองจะเสียได้นะครับ

ติดตามบทความใหม่ๆได้ทางเพจคอยน์แมนครับ

https://www.facebook.com/coinmanth/