ช่วงนี้คนเข้ามาให้ความสนใจกับ ICO มากขึ้นเยอะ แต่ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงของ ICO ก็เพิ่มขึ้นตามมา
เรามาดูกันดีกว่าครับ ว่ามีอะไรที่เราควรระวังบ้างในช่วงนี้
1. กับดัก Private sale
ตอนนี้ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าทุกคนเริ่มมุ่งหา Private sale กัน (คอยน์แมนได้อธิบายเกี่ยวกับเทรนด์ระดมทุนที่เปลี่ยนไปในบทความสรุปเดือนที่แล้ว ไปอ่านกันได้ครับ)
ทำไมคนถึงสนใจ Private sale มากขึ้น?
- เราลงได้เยอะกว่า ไม่ได้โดน individual cap แบบ Public sale
- เราได้โบนัสหรือส่วนลดมากกว่าคนอื่น
- ไม่ต้องแย่งหรือ Gas war กับคนอื่น
การลง Private sale ถือว่าปลอดภัยในด้านกำไรมากกว่าการลง Public sale
แต่เราก็อย่าลืมว่า Private sale นั้นไม่ได้พิเศษเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เนื่องจาก
- Pool / Syndicate หรือการที่คนรวมเงินลงด้วยกันที่มีเยอะขึ้นมาก ทำให้ใครๆก็ลงกันได้แล้ว (แต่ก็มีบาง ICO ที่ไม่รับพวกนี้นะ)
- แบ่งให้ Private sale เยอะ เช่นเกิน 80% ของ Token sale และให้เหลือส่วนของ Public sale น้อย (เหลือไว้เพื่อแค่จุดกระแสให้คน Hype กัน ลงกันได้คนละนิดเดียว)
- บางทีกระแสดี ได้เงินเยอะง่ายๆแล้วก็ไม่ทำ Public sale เลย
เจอแบบนี้คนส่วนมากก็ไม่สน ICO ตัวนี้ละครับ ในเมื่อได้ไม่ได้ลง Private sale หรือได้ Public sale แค่นิดเดียว มันดูเสียเวลาเปล่า เก็บเงินไปลง ICO อื่นดีกว่า มีให้เลือกเยอะแยะ หรือแม้แต่ตอนที่เหรียญ ICO เข้า Exchange คนที่ไม่ได้ลง ICO ก็คงไม่อินกับโปรเจคถึงต้องมานั่งซื้อเก็บ ถ้าคนคิดแบบนี้กันเยอะๆราคาก็ร่วงสิครับ
เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้?
จากประสบการณ์ เมื่อก่อน ICO มักจะ
- แบ่งมาอย่างชัดเจนแต่แรก ว่า Private sale เท่าไหร่ Pre sale เท่าไหร่ และ Public sale เท่าไหร่ ไม่ใช่รอดูกระแสค่อยว่ากัน
- มีการคัดเลือกคนที่ลง Private sale ด้วย จะเน้นพวก Strategic investor กลุ่มคนที่ช่วยเหลือโปรเจคเขาได้ หรือมั่นใจว่าจะลงทุนระยะยาวจริงๆ (โปรเจคดีๆจะไม่ชอบพวก pool เพราะมันไม่ add value และส่วนมากฟลิบกันทั้งนั้น) บางทีสำหรับคนที่ลงเยอะๆจึงมีการโทรคุยกันโดยตรงก่อนจะให้ลง Private sale เลยทีเดียว
แต่ปัจจุบัน ICO ส่วนมากเริ่มไม่ทำแบบนี้แล้ว ซึ่งอาจจะทำให้เห็นถึงความไม่เป็นมืออาชีพ และความโลภของทีมงาน
เพราะฉะนั้นอย่าลืมดูก่อนเสมอนะครับว่า Private sale มันทำให้เราได้เปรียบขนาดไหน (ถ้าคนส่วนมากได้ส่วนลดหรือโบนัสเท่ากัน แม้ว่าเราได้ Private sale ก็ไม่ได้เปรียบใครเท่าไหร่ครับ)
ถ้าเชคแล้วมันดี ก็ลงได้อย่างสบายใจครับ
2. Hard cap ที่สูงจนไม่น่าเชื่อ
เราจะสังเกตได้ว่า Hard cap ของ ICO ในช่วงต้นปีนี้เมื่อเทียบกับกลางปีที่แล้วสูงขึ้นกว่าเดิมเยอะมากครับ ถ้าเรายังจำกันได้ โปรเจคดีๆ อย่าง OMG, ICX หรือ Wanchain ต้องการเงินระดมทุนน้อยกว่า $30m ในขณะที่ตอนนี้ Hard cap $50m สำหรับโปรเจคธรรมดาๆดูจะกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ถ้า $50m ยังฟังดูธรรมดาตอนนี้เราได้เห็นโปรเจค Hard cap ระดับ $100m+ ออกมาหลายตัวแล้ว เช่น
- Orbs Network $133m
- Orchid Protocol $120m
- Dfinity $100m+
- Telegram $1bn
คอยน์แมนเคยกล่าวไปแล้วในบทความก่อนๆว่า Hard cap ที่สูงนั้นมีข้อเสียหลายอย่าง ในแง่ของการลงทุน ผลตอบแทนสำหรับนักลงทุนจะน้อยลงเนื่องจากมูลค่าตลาดที่สูงอยู่แล้วทำให้อัตราการเติบโตต่ำ แต่ถ้าบางตัวเรามั่นใจคิดว่าไประดับ $1bn+ ได้ มันก็ไม่แย่นะครับ
ถ้า Hard cap นั้นสูง จนคนที่อยากลงก็ลงกันหมดแล้ว ใครจะมาแย่งซื้อตอนมันเข้า Exchange ละครับ
ส่วนในแง่ของธุรกิจ เราไม่มีทางรู้เลยว่าเงินที่ระดมไปได้ แท้จริงแล้วทีมงานเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง ถ้าเงินลงทุนสูงมากเกินไป ทีมงานอาจจะไม่เห็นความสำคัญแล้วเอาไปถลุงเล่นก็ได้ครับ (อย่าลืม Uber, Airbnb, Facebook ไม่จำเป็นต้องใช้เงินขนาดนั้นในการเริ่มต้นนะครับ)
3. จำนวน ICO ที่มากขึ้น
จำนวน ICO มีมากขึ้น แต่เงินในตลาดไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่คิด
จริงอยู่ว่าทุกคนก็อยากให้โปรเจคที่ตัวเองลง 10x – 100x กันทั้งนั้น มองไปทางไหนก็มีแต่โปรเจคดีๆเต็มไปหมดเลย แต่ถ้าเราพูดกันตามความจริงก็น่าจะรู้ว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นทุกโปรเจคหรอกใช่ไหมละครับ
ยิ่งถ้าเงินในตลาดไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก ใครจะมานั่งปั่นทุกตัวได้ ซึ่งเราน่าจะเห็นผลกระทบในช่วงหลังกันแล้วว่า ICO มันไม่ได้ไปหลายเท่าตอนเข้า Exchange แบบแต่ก่อนแล้ว (2x – 5x ก็ดีแล้วตอนนี้)
4. จะเข้า Exchange ไหน และเมื่อไหร่
เรื่อง Exchange เป็นความเสี่ยงที่เราควรคำนึงถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ซึ่งปัญหาเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นเพราะ
- จำนวนเหรียญ ICO เยอะขึ้นมาก ไม่ใช่ทุกตัวจะได้เข้า Exchange ใหญ่ๆ ต้องแย่งกันเข้า
- Exchange พอใหญ่แล้วก็จะคัดเลือกมากขึ้น (เช่น Binance ไม่ลิสรัวๆแล้ว)
- จากไม่กี่วันได้เข้า Exchange ดีๆ ตอนนี้อาจจะรอหลายอาทิตย์หรือเป็นเดือนเลยทีเดียว
ผลก็คือ
- ไม่มี Exchange ดีๆ = ไม่มี Liquidity ไม่มี Volume ให้ซือขาย (เงินจมนั้นเอง)
- ยิ่งคนลง Private sale ถ้าไม่เข้า Exchange ใหญ่ๆนี่หมดสิทธิขายเลย เพราะ Volume ไม่พอ
- ถ้าตลาดกับมากระทิง ขึ้นเอาๆ แล้วเหรียญเราอยู่ใน Exchange เล็กๆ มันก็จะไม่โดนปั้ม เสียโอกาสตลาดขาขึ้นมากๆ
เพราะฉะนั้น ถามตัวเองเสมอนะครับว่า จะเป็นอะไรไหมถ้ามันจะไม่เข้า Exchange ใหญ่ๆในเร็วๆนี้ (ต้องรีบใช้เงินไหม) ถ้าชอบจริง และคิดว่ามีศักยภาพแล้วเราสามารถถือยาวได้ก็คงไม่มีปัญหา เพราะมันจะเข้า Exchange ใหญ่ๆเมื่อไหร่ก็ได้ เราไม่รีบ
5. นักลงทุนขาดความอดทน
ถึงแม้ในเคสที่เหรียญ ICO ใหม่เข้า Exchange ดีๆได้ทันที กำไรก็อาจไม่เยอะอย่างที่คิด
อาจเป็นเพราะกำไรที่ดูได้มาง่ายๆจาก ICO ในช่วงก่อนๆ ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่นั้นมีความอดทนต่ำ เน้นฟลิบกันมากขึ้น พอเหรียญเข้าตลาดปุ้ปก็คาดหวังที่จะเห็นผลตอบแทนหลายเท่าทันที ไม่ค่อยมีใครคิดถือรอโปรดักส์ออก พอเห็นราคาไปได้ไม่กี่เท่า เริ่มไม่ขยับหรือตกหน่อย ก็รีบเทเหรียญขายเพื่อไปลง ICO ตัวอื่นต่อ แล้วไม่คิดกลับมาซื้อตัวเดิม เพราะตัวเลือก ICO ให้ฟลิบใหม่ๆมีอีกเยอะ
ผลก็คือ ราคาเหรียญ ICO ที่เข้าตลาดใหม่ๆเลยไปได้ได้ไม่กี่เท่าถ้าเทียบกับเมื่อก่อน
วัดกันที่ Community
เราสามารถดูได้ว่า community นั้นดึงดูดคนกลุ่มไหนเข้าไป และมีกระแสแรงจริงหรือไม่
ไม่ใช่ Telegram คนเยอะเพราะ referral หรือ airdrop อย่างเดียว
เราควรจะซื้อเหรียญที่มี Community ที่นักลงทุนและนักพัฒนานั้น active เนื่องจากคนพวกนี้เค้าจะซัพพอร์ตโปรเจคในระยะยาว เหมือนแฟนคลับนั้นเอง สิ่งนี้มันสำคัญมากโดยเฉพาะตอนนี้ที่คนส่วนมากเน้นฟลิบ ไม่ได้อิน ไม่ได้ยึดมั่นกับโปรเจคเหมือนเมื่อก่อน
ซื้อเหรียญในตลาดดีกว่าไหม
การซื้อเหรียญที่อยู่ในตลาดอยู่แล้ว หรือถ้าให้ดีเลยก็คืออยู่ใน Exchange ใหญ่ๆแล้ว ถือเป็นทางเลือกที่ดีครับ โดยเฉพาะในตอนตลาดกำลังตก เราสามารถซื้อเหรียญเก่าๆดีๆราคาถูก หรือว่าเหรียญ ICO ที่พึ่งเข้าซึ่งถูกกว่าราคา ICO ได้
คิดเสมอว่า ผลตอบแทนของ ICO ที่เราจะลง มิสิทธิไปได้ซักกี่เท่า จะสูงกว่าซื้อตัวที่อยู่ในตลาดอยู่แล้วหรือไม่
อันที่จริงในช่วงเวลาที่ตลาดตก มีเหรียญดีๆราคาหล่นลงมาจน market capไม่ถึง $100m อยู่หลายตัว ถ้าเทียบกับพวก ICO ที่ต้องการเงินทุน $100m+ แต่แรก คอยน์แมนคิดว่าซื้อเหรียญในตลาดดีกว่าครับ
วิธีนี้ทำให้เราไม่ต้องเสี่ยงเรื่องที่ว่าจะสามารถเทรดได้เมื่อไหร่ จะเข้า Exchange ดีไหม เหมือนการลง ICO ใหม่ๆ
ขณะเดียวกันเวลาตลาดเด้งกลับ เหรียญดีๆเหล่านี้ทำกำไรให้เราได้แน่นอน ไม่ต้องรอเป็นเดือนๆ โดยเฉพาะเวลาลง Private sale เงินเราจมนานกว่าคนอื่น อาจจะเสียโอกาสตรงนี้ได้
ปิดท้าย
ในที่นี้คอยน์แมนไม่ได้บอกว่าการลง ICO ในช่วงนี้ไม่ดีนะครับ แต่อยากจะให้คิดดีๆก่อนลงทุกครั้ง
**ไปลองดูชะตากรรมของแต่ละ ICO กันได้ว่าแต่ละตัวเป็นยังไง ได้กันกี่เท่า หรือขาดทุนกันเท่าไหร่ https://icodrops.com/ico-stats/**
ติดตามบทความใหม่ๆได้ทางเพจคอยน์แมนครับ