ในปี 2017 เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆมากมายในตลาด Crypto ถ้าจะย้อนเวลาสั้นๆ ปีที่แล้วนับเป็นยุคตื่นตัวของ Crypto เลยก็ว่าได้ จากมูลค่าตลาดที่ต่ำกว่า $20bn ขึ้นมาสูงถึง $600bn หรือ 30 เท่าภายในปีเดียว
Cryptocurrency ที่นำโดย บิทคอยน์ เริ่มมาเป็นข่าวอย่างต่อเนื่องในสื่อหลัก และแน่นอนก็มีทั้งกระแสบวกและกระแสลบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนเริ่มให้ความสนใจกันเยอะมาก ทำให้บล็อคเชนเทคโนโลยีนั้นเป็นที่รู้จักมากขึ้นเช่นกัน
แม้ตอนที่กำลังเขียนบทความนี้ มูลค่าตลาดจะหายไปเกินครึ่งจากทำจุดสูงสุดที่ $800bn คอยน์แมนก็ยังมั่นใจว่าปีนี้แหละ จะเป็นปีทองของ Crypto
เอาหละ เกริ่นกันมาพอแล้ว มาดูกันคำทำนายกันดีกว่าว่าปีนี้น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
1. ปีแห่ง Infrastructure
Infrastructure ในที่นี้คอยน์แมนพูดถึงคือระบบที่ให้คนสร้างและรัน dApps บนนั้นอีกทีนึง อย่างเช่น Ethereum นะครับ
อย่าลืมว่า ไม่ว่าจะเป็น dApps ประเภทไหน จะ Protocol, Marketplace, Exchange หรือแอปเฉพาะทางใช้กับธุรกิจ ทั้งหมดล้วนแล้วต้องสร้างบน Infrastructure ที่ดี มันถึงจะใช้งานได้ดี
มาดูกันครับว่า มีโปรเจค Infrastructure แบบไหนที่จะมาแรงในปีนี้กันบ้าง
โปรเจคที่แก้ปัญหา Scaling ได้
หลายๆคนน่าจะเห็นตรงกันแล้วว่า ตอนนี้ปัญหา Scaling นั้นใหญ่จริงๆ
Ethereum เองที่ถือเป็นระบบที่คนใช้มากที่สุด นั้นประสบปัญหาเรื่องความช้าหลายครั้งจาก ICO บ้าง จากเกมส์อย่าง CryptoKitties บ้าง
ถึงแม้ทาง Ethereum ก็กำลังศึกษา scaling solution ที่เรียกว่า Plasma (เป็นการสร้าง Child-chain ออกมาอีกที ให้แต่ละแอปนั้นแยก Blockchain ลูกไปเป็นของตัวเอง แต่สุดท้ายยังจะมี ETH เป็น Root-chain อยู่) แต่มันก็ยังไม่เสร็จ
ผลก็คือ เราเลยมี ICO เกิดใหม่รายวัน เพื่อมาแข่งกันแก้ปัญหา Scaling โดยหลักๆจะมีสองแบบด้วยกันคือ
- สร้าง Layer-2 / Side-chain เพื่อช่วย Ethereum ในการ scale
- สร้าง Blockchain ใหม่ที่ scale ได้ดีกว่า Ethereum
ปี 2018 นี้จะเป็นปีแห่งการตามผู้นำในด้าน smart contract platform กันได้เลยครับ ซึ่งเราอาจะเห็นกันบ้างแล้วว่า ICO ไหนบอกว่าแก้ปัญหานี้ได้ คนก็แห่กันซื้อ ราคาขึ้นเอาๆตอนเข้าตลาด
แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า สิ่งที่เค้าโฆษณา กับสิ่งที่ทำได้จริงอาจจะไม่ตรงกัน (เพราะถ้ามันทำได้ง่ายขนาดนั้น Ethereum คงแก้ไปได้นานแล้ว) ขณะเดียวกัน ก่อนที่จะไปลง ICO ใหม่ๆนี้ ก็อย่าลืมโปรเจคดีๆที่อยู่ในตลาดอยู่แล้วนะครับ
โปรเจค Cross-chain ทั้งหลาย
พอเรามีบล็อคเชนเยอะหลายอัน ปัญหาต่อมาก็คือ
- มันไม่คุยกัน ถ้าผมสร้าง smart contract อยู่บน NEO แล้วอีกฝั่งใช้ ETH มันจะจัดการส่งต่อข้อมูลกันยังไง
- จะโอนย้าย Asset ข้ามบล็อคเชนกันยังไง
- จะให้แต่ละบล็อคเชนมันดูข้อมูลกัน ทำงานร่วมกันยังไง
ปัญหาเหล่านี้ทำให้เกิดโปรเจคเช่น Wanchain, Ontology, Polkadot, Overledger ขึ้นมา หรือแม้แต่การเทรดข้ามบล็อกเชน เราก็เห็นเทคโนโลยีเช่น Atomic swap หรือโปรเจคอย่าง NEX ที่สร้าง Decentralized Exchange ที่สามารถเทรดข้ามคู่ NEO และ ETH ได้
DAG (Directed Acyclic Graph)
คนเริ่มเข้ามาสนใจ DAG ก็เพราะปัญหา Scaling ที่เราเห็นๆกัน เพราะคนมองว่า DAG นั้นทั้งเร็วกว่า และ fee ถูกกว่าการใช้ Blockchain (ในบางเคสนั้นฟรีเลยทีเดียว เช่น Nano และ IOTA)
แต่ข้อเสียมันมี เช่นใช้ Smart contract ไม่ได้ ไม่มี Global state หรือความปลอดภัยที่ต่ำกว่า
อย่างไรก็ตาม ปี 2018 เราคงได้เห็นโปรเจคและ ICO อีกมากที่เอา DAG มาใช้ (บางอันก็ดัดแปลง Consensus ให้ใช้ Smart contract ได้) ตัวอย่างตอนนี้ที่เราเห็นแล้ว เช่น Hashgraph, Hycon, IOTchain, Constellation, Orbs Network
อย่างไรก็ตาม เราก็ควรดูดีๆนะครับ เพาะมันมี ICO ใหม่ๆที่อ้างตัวว่าเป็น Blockchain 3.0 บ้าง 4.0 บ้างมารายวันกันเลยทีเดียว เราควรดูว่าเค้าจะทำได้จริงไหม (ดูได้จากว่าทีมมีความสามารถไหม มีตัวอย่างไหม)
2. Stable coin หรือเหรียญที่มีมูลค่าคงที่ จะได้รับความสนใจมากขึ้น
พูดถึง Stable coin หลายคนคงนึกถึง USDT (US dollar tether) กันใช่ไหมหละครับ ซึ่งเราก็เห็นกันแล้วว่าคอนเซปของ USDT นั้นดีขนาดไหน กับการที่มีเหรียญ Crypto ที่มูลค่าเท่ากับ $1 USD
จุดอ่อนของ Cryptocurrency ที่คนชอบพูดถึงก็คือมูลค่ามันเหวี่ยงมากเกินกว่าจะมาเป็นสกุลเงินที่คนใช้กันจริงได้ แต่ปัญหานั้นจะหมดไปได้ครับถ้าเรามี Stable coin
ในปัจจุบัน Stable coin เช่น USDT ถูกนำมาใช้ได้หลายอย่าง เช่น
- เทรดคู่กับ BTC ETH และเหรียญอื่นๆ โดยที่ Exchange นั้นไม่จำเป็นต้องมี USD จริงๆ (Exchange ใหญ่ๆส่วนมากไม่รับเงิน Fiat อยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงมี USDT ไว้เทรดคู่)
- ใช้เก็บมูลค่าหรือพักเงิน สำหรับคนที่ต้องการ take profit แต่ไม่อยากถอนเป็นเงินบาทเข้าธนาคาร (เพราะภาษี?) เราสามารถโอน USDT จาก Exchange ไปยัง Crypto Wallet ของเราเองได้ ซึ่งมูลค่ามันจะคงที่เสมือนถือเงินดอลลาร์ได้จริงๆ
ในอนาคต เราน่าจะเห็น
- การใช้ซื้อขายของและใช้จ่ายรายวัน ซึ่งต่อไป ร้านค้าจะกล้ารับเพราะมูลค่ามันจะคงที่เท่ากับ $1 USD หรือถ้ามีเวอร์ชั่นไทยก็เท่ากับ 1 บาทจริงๆ ทำให้เราไม่ต้องถอนเป็น Fiat ให้เสียภาษีหรือเสีย VAT เวลาจ่ายเงิน
- ใช้สำหรับ Financial services เช่น การกู้ยืม หรือธุรกรรมทางการเงินที่ไม่ต้องการเสี่ยงกับมูลค่าที่เหวี่ยงของเหรียญ Crypto ส่วนใหญ่ (นึกภาพการปล่อยกู้ด้วย BTC ระยะ 10 ปี ถึงตอนนั้นราคา BTC จะเป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้ ทำให้คนให้ยืมก็ไม่กล้าปล่อย คนกู้ก็ไม่กล้ากู้)
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะดีนะครับ แต่ปัญหาก็คือ Stable coin ที่ฮิตกันในปัจจุบันอย่าง USDT มันไว้ใจไม่ได้นะสิ เพราะมันไม่ยอมให้มีการตรวจสอบว่าทุก 1 USDT นั้นมี $1 USD ค้ำในธนาคารจริงรึเปล่า
ดังนั้น เราน่าจะได้เห็นโปรเจคที่ทำ Stable coin เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในปี 2018 นี้ ซึ่งตอนนี้เราก็มี MarketDAO (DAI), DigiDAO (DGX ที่ค้ำด้วยทองคำ), Alchemint (Stable coin ฝั่งจีน), Havven, X8currency (ค้ำด้วยสกุลเงิน 7 สกุล + ทอง), Thai Baht Digital (TBD ที่ cash2coins ของไทยทำ) เป็นต้น
**โดยเฉพาะปีนี้ที่ตลาดนั้นร่วงลงอย่างรุนแรง คนน่าจะเห็นความสำคัญของ Stable coin ขึ้นเยอะ
3. Security token กำลังจะมาแรง
Security token นั้นก็คือเหรียญที่เราเทรดไปเพื่อการลงทุน เก็งกำไร หรือสร้างรายได้ ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ ICO (ที่ไม่ใช่ Utility token) หรือเหรียญที่เป็นตัวแทนของทรัพย์สินจริง เช่น ทอง ที่ดิน หุ้น เป็นต้น คิดดูว่าถ้าเรารวมทรัพย์สินเหล่านี้เข้ามาในตลาด Crypto มันจะใหญ่ขึ้นขนาดไหน
พวกเราน่าจะเห็นข่าวกันแล้วจากอเมริกา ที่ทาง SEC นั้นต้องการให้มีเวปเทรดเหรียญเหล่านี้ให้ถูกต้องตามแบบฉบับของเขา ซึ่งในที่นี้ หมายถึงการสร้าง Security Exchange
ดูเผินๆ เราอาจคิดว่า แบบนี้มันก็ไม่ดีต่อตลาด Crypto สิ เวปเทรดจะทำยังไง ซึ่งในระยะสั้น คอยน์แมนเชื่อว่ามันอาจดูเป็นผลเสียต่อตลาด แต่ระยะยาวแล้ว มันหมายความว่าทางรัฐนั้นยอมรับให้มีการเทรดได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้เป็นการเปิดช่องทางให้คนสร้าง Security Token (โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนรัฐเล่นงานภายหลัง)
ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้ซื้อเหรียญ การมีรัฐเข้ามาช่วยตรวจสอบและ audit นั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก เราจะได้เชื่อมั่นได้ว่า Security Token นั้นมีทรัพย์สินค้ำอยู่จริงๆ (ไม่เหมือนกับ USDT ที่ไม่ให้ตรวจสอบ)
ดังนั้น เทรนด์ Asset Tokenization หรือการแปลงทรัพย์สินมาเป็นเหรียญ Security Token นั้นมาแรงแน่ๆครับในอนาคต แต่สำหรับปี 2018 นี้ คอยน์แมนเชื่อว่ากลุ่มที่จะฮิตก่อนเพื่อนเลยคือเหรียญหุ้น หรือ Equity-backed token นั้นเอง เหตุผลก็คือ
- ICO ส่วนมากนั้นมาจาก startup หรือธุรกิจที่ต้องการเงินทุน แต่เนื่องจากมันไม่มีกฎหมายรองรับในการขายหุ้นส่วนบริษัทหรือการจ่ายปันผลด้วยเหรียญ ทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องคิดฝืนขาย Utility token แทนเพื่อเลี่ยงปัญหากฎหมาย แต่ถ้ารัฐทำให้ถูกกฎหมายหละ จะมีบริษัทดีๆขายหุ้นและปันผลทาง ICO กันขนาดไหน
- สำหรับหุ้นที่ขายอยู่แล้วในตลาดหลักทรัพย์ ก็สามารถแปลงเป็นเหรียญได้ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาซื้อเหรียญหุ้นแบบไร้พรมแดน โดยไม่ต้องผ่านโบรกเกอร์อีกต่อไป ทำให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและมีเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นมากขึ้นด้วย (นึกภาพเราจะซื้อหุ้นของอเมริกาผ่านโบรกเกอร์จากไทย ยุ่งยากขนาดไหน แถม fee แพงอีก)
นอกจากหุ้นแล้ว คอยน์แมนคิดว่าตลาดที่จะถูก Tokenized และคนฮิตเทรดกันถัดมาน่าจะเป็น Real Estate market และ Bond market นะครับ
ดังนั้น เราควรจับตาโปรเจคที่เกี่ยวกับด้าน Asset Tokenization หรือ Security Token ให้ดีครับ เช่น Tzero, Polymath, Trusttoken, Bnktothefuture, Proof, Harbor, และอื่นๆอีกมาก
4. คนจะเริ่มหัดใช้ Decentralized Exchange และเก็บเหรียญเอง
เราเห็นโปรเจคมากมายทำ Decentralized Exchange (DEX) ซึ่งบางอันก็ใช้งานได้ดีด้วย แต่ทำไมนะ คนยังไม่ค่อยใช้กัน ตอนนี้ DEX เช่น IDEX หรือ EtherDelta นั้นเป็นเหมือนศูนย์รวมเหรียญ ICO ที่ยังไม่เข้า Centralized Exchange ใหญ่ๆ เป็นเหมือนที่เทรดชั่วคราวนั้นเอง (พอเหรียญไหนเข้านี่ราคาขึ้นเลย)
มาปี 2018 นี้ คอยน์แมนเชื่อว่าคนจะเริ่มมอง DEX เปลี่ยนไปจากเดิมละครับ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะเริ่มมาตอนสิ้นปีได้ เพราะอะไร ไปดูกันครับ
ICO เยอะขึ้น แต่ Centralized Exchange กลับ list ยากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่นักลงทุนแทบทุกคนต้องการหลัง ICO จบคือการได้เห็นเหรียญที่ตัวเองลงทุนไปได้ขึ้นไป list บน Exchange ดีๆ เหตุผลก็คือ
- Volume การเทรดที่สูงมีแนวโน้มที่จะผลักราคาของเหรียญจาก ICO ที่ฮอตๆให้พุ่งต่อขึ้นไปได้เยอะ
- Volume ทำให้เรามีความคล่องตัวในการซื้อขาย ซึ่งในบางเคสเราซื้อ ICO มาแต่จะปล่อยขายก็ไม่ได้เพราะไม่มี Volume
เราจะเห็นได้ว่าเว็ปเทรดยอดนิยมอย่าง Binance ตอนนี้มีอำนาจต่อรองสูงมาก จากเดิมที่ list เหรียญใหม่รัวๆ ตอนนี้การจะเข้าไป list ใน Binance ได้ทีต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหน (ขอไม่พูดเรื่องค่า list นะครับ เพราะมันไม่ตายตัว) ลองดูสิครับตอนนี้โปรเจคที่ ICO เสร็จแล้วได้เข้า Exchange ใหญ่ๆเลยมีอยู่กี่ตัวกัน
ปัญหา Regulation
ต่อเนื่องจากที่ list ยากแล้ว ยังมี ICO อีกหลายประเภทที่เรียกได้ว่าเลิกหวังเลยที่จะได้เข้า Exchange ใหญ่ๆ หรือถ้า list แล้วก็อาจโดนเอาออกได้ เนื่องจากทาง Exchange ก็ไม่อยากมีปัญหากับ Regulator เช่น
- เหรียญ ICO ที่เข้าข่าย Security token
- เหรียญ ICO ที่ให้ปันผล
- ICO ที่ไม่ทำ KYC
- ICO ที่ไม่มีการแบนประเทศที่ห้ามลง ICO
ซึ่งเราจะว่าทาง Exchange ก็ไม่ได้นะ เพราะเค้าก็คงไม่อยากหาปัญหาเข้าตัวกับทางรัฐไหนอยู่แล้ว
ถ้าคนเริ่มชินกับการใช้ DEX หละ!?
ตอนนี้เราอาจจะยังเห็นปรากฎการณ์เช่น ช้อนจาก DEX แล้วรอไปปล่อยตอนเหรียญเข้า Binance เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ใช้ DEX ราคาเลยพุ่งแน่ๆตอนได้ list
สิ่งเหล่านี้จะไม่อยู่ถาวรหรอกครับ เพราะทุกคนก็ไม่อยากเสียโอกาส จะเริ่มหัดใช้ DEX กันมากขึ้นแน่นอน ซึ่งพอถึงจุดนึง โปรเจคใหม่ๆก็ไม่ต้องง้อ Centralized Exchange ใหญ่ๆอีกต่อไป ออกเหรียญประเภทไหนก็ list ได้ นักลงทุนไม่ต้องกลัวเหรียญ ICO เล็กๆจะไม่ได้ list อีกต่อไป
เราก็แค่รอให้คนเริ่มเคยชินกับการเทรดบน DEX จนมันมี Volume สูงพอครับ หลังจากนั้นไม่มีใครที่ไหนสามารถมาแบนการซื้อขายของเราได้ พอถึงจุดนี้ รัฐจะแบน Exchange ยังไงก็ไม่มีผลกับตลาดมากแล้วหละครับ
**ขณะที่เขียนนี่ Binance ก็ประกาศว่าจะทำ DEX ของตัวเองแล้วด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แปลว่าเหรียญไหนก็ list บนนั้นได้ และที่สำคัญ Binance จะไม่มีปัญหาเรื่อง Volume การเทรดเหมือน DEX อื่นๆ เพราะเอา liquidity pool ของ Centralized Exchange ของตัวเองมาช่วยได้
DEX ทำให้คนเริ่มเก็บเหรียญเอง
สำหรับคนที่ลง ICO มาซักพักแล้วก็น่าจะเคยชินกับการเก็บเหรียญบน Wallet ที่เราถือ Private key เองอยู่แล้วใช่ไหมละครับ ลองคิดดูว่าถ้าการเทรดบน DEX นั้นเป็นเรื่องปกติขึ้นมา เราจะไม่ต้องโอนเหรียญไปบน Centralized Exchange อีกต่อไปเลยนะครับ
สิ่งนี้ทำให้นักเทรดคนอื่น ที่ไม่อยากเสียโอกาสซื้อเหรียญดีๆ ก็จะหัดสร้าง Wallet หัดเก็บเหรียญเองเพื่อมาเทรดบน DEX ซึ่งคอยน์แมนคิดว่าเป็นเทรนด์ที่ดีมากครับ เพราะคนเริ่มเรียนรู้ถึงการดูแลทรัพย์สินตัวเองอย่างแท้จริง
5. การกลับมาของ BTC และความหวังของการเป็น Global currency อีกครั้ง
อาจมีเพื่อนๆหลายคนที่สงสัยว่าจำนวนเหรียญ Alt มีเยอะขึ้นเรื่อยๆแบบนี้ แถมกินส่วนแบ่งมูลค่าตลาดของบิทคอยน์ไปมาก จากต้นปี 2017 บิทคอยน์ยังมี dominance ถึง 80% พอมาปี 2018 นี้เราเห็น dominance ไปต่ำสุดที่เกือบ 30% เลยทีเดียว ซึ่งมันอาจหมายความว่าปีนี้บิทคอยน์อาจจะไม่ใช่เหรียญมูลค่าอันดับหนึ่งอีกต่อไปแล้ว?
ส่วนนึงเป็นเพราะคนเริ่มมองบิทคอยน์เป็นเหมือนทองดิจิตอลอย่างเดียว เพราะค่าโอนมันก็แพง โอนก็ช้า มันมาใช้เป็นสกุลเงินใช้จ่ายรายวันด้วยไม่ได้หรอก จะใช้ได้ยังไงถ้าค่า fee มันจะแพงกว่ากาแฟอีก
ส่วนตัวแล้ว คอยน์แมนคิดว่าบิทคอยน์จะอยู่อันดับหนึ่งอีกนานครับ ซึ่งนอกที่บิทคอยน์จะเอา dominance คืนมาตามธรรมชาติแล้ว ยังมีอีกสองสิ่งที่คอยน์แมนคิดว่าจะมีผลบวกกับบิทคอยน์ และจะทำให้คนกลับมาตั้งความหวังในการใช้บิทคอยน์เสมือนสกุลเงินอีกครั้ง นั้นก็คือ
Lighting Network
เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมานี้ Lighting โดย Lighting Labs ได้เปิดให้ใช้บน mainnet อย่างเป็นทางการแล้ว
Lighting นั้นเป็น protocol ที่รันบน Bitcoin blockchain ซึ่งมันทำให้เราสามารถโอนบิทคอยน์หากันได้แบบโอนปุ๊ปถึงปั้ป แถมโอนได้ถูกมากๆอีกด้วย ไม่ว่าจะซื้อกาแฟ หรือใช้สำหรับ micro payment ก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
โดยที่ตัว protocol นี้จะเปิด Payment channel ระหว่างสองฝั่ง ทำให้เราไม่จำเป็นต้อง Broadcast transaction ไปทั้ง network ซึ่งระหว่างที่ channel มันเปิดอยู่ เราจะโอนอะไรให้กันยังไงก็ได้ การ Broadcast จะเกิดหลังจากที่เราปิด channel
ส่วนมากคนจะคิดว่าบิทคอยน์นั้นไม่ได้มีการพัฒนาเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ Alt แต่ Lighting network นี้อาจจะเข้ามาเปลี่ยนความคิดนักลงทุนหลายๆคนได้เลย และแน่นอนว่ามันมีสิทธิจะทำให้ Alt หลายตัวนั้นหมดความจำเป็นไปเลยทีเดียว
Bulletproofs
Bulletproofs นั้นจะเข้ามาช่วยให้เรามี privacy ใน transaction ของเรามากขึ้น ซึ่ง privacy นี้อาจไม่เหมือนกับพวก privacy coin อื่น ที่เป้าหมายคือการซ่อนไม่ให้รู้ว่าใครโอนให้ใคร
ในที่นี้ Bulletproofs จะมาแก้ปัญหาของ Confidential Transaction ที่พูดง่ายๆก็คือทริคที่จะทำให้แค่คนส่งและคนรับรู้จำนวนเงิน เช่นถ้าเรารับเงินเดือนเป็นบิทคอยน์ เราก็ไม่อยากให้ใครรู้ใช่ไหมละครับว่ามันเท่าไหร่
ปัจจุบันการจะทำ Confidential Transaction นั้นต้องใช้วิธีที่เรียกว่า Rangeproof ซึ่งมันจะทำให้ transaction ขนาดใหญ่กว่าปกติมาก และไม่ค่อยคุ้มที่จะใช้กับบิทคอยน์ (ยิ่งใช้ transaction size ใหญ่ขนาดไหน ต้องจ่าย fee แพงเท่านั้น) แต่ด้วย Bulletproofs เราสามารถลดขนาดได้มากถึง 80% ด้วยกัน
ผลก็คือ คนน่าจะกลับมามองและตั้งความหวังกับบิทคอยน์ในฐานะสกุลเงินอีกครั้ง เนื่องจากมันเริ่มมีความพร้อมในเรื่องความเร็ว ค่า fee ถูก และการมี privacy ระดับนึง
6. คนจะหันมาสนใจ dApps มากขึ้น ก่อนจะบูมในปี 2019
dApps จะยังไม่ฮิตเท่า Infrastructure ในปีนี้
ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนเราพยายามจะสร้างแอปเช่น Facebook, Uber, Youtube เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนที่อินเตอร์เน็ตยังช้า มือถือยังไม่มี App store แบบนี้
ไม่ต่างกับ dApps ครับ ที่ Infrastructure มันยังไม่พร้อม
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนเริ่มรู้แล้วว่าเพดานการเติบโตของมูลค่าเหรียญ dApps นั้นน้อยกว่าเหรียญ Infrastruture ซึ่งอาจทำให้ ICO สาย dApps ใหม่ๆ อาจเริ่มลด Hard cap เพื่อดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราเริ่มลงทุนใน dApps ไม่ได้
ปี 2018 นี้จะเป็นปีแรกที่โปรดักส์ในด้านของ dApps จะเริ่มเข้าสู่ตลาด นี่นับเป็นการเข้าสู่ยุคแห่งการ ”ทดสอบ” เทคโนโลยีบล็อคเชนอย่างเป็นทางการ
คอยน์แมนใช้คำว่า ”ทดสอบ” เพราะว่าจริงๆแล้วเราไม่รู้เลยครับว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่ง dApps ที่ออกมาในปีนี้จะช่วยเราตอบคำถามเหล่านี้ เช่น
- Blockchain Infrastructure ที่เรามีมันจะพร้อมรับการใช้งานแอปเหล่านี้ไหวไหม
- แอปเหล่านี้มันจะมีคนใช้งานจริงไหม การตอบรับจากผู้ใช้จะเป็นยังไง
- บล็อคเชนจะใช่ solution ที่เหมาะสมไหม แก้ปัญหาได้ดีจริงไหม
แปลว่า ในปี 2018 นี้มูลค่าของโปรเจค dApps ต่างๆนั้นอาจยังไม่ได้สะท้อนถึง Utility การใช้งานของมันจริงๆ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็สามารถพอตีค่าได้ว่ามันจะเวิร์คไหม ทำให้เหรียญ dApps เหล่านี้ไม่ใช่แค่เหรียญในอากาศที่ยังใช้งานไม่ได้ และยึดมูลค่าจากความหวังของนักลงทุนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
คอยน์แมนเชื่อว่าสิ้นปี 2018 จะเป็นช่วงที่โปรเจค Infrastructure เริ่มอิ่มตัว ทำให้นักลงทุนเริ่มหันมามองโปรเจค dApps ที่น่าจะมีอนาคตไกล ดังนั้นพวกเราจะเริ่มเก็บกันตอนนี้หรือท้ายๆปีก็ได้ครับ
โดยในความเห็นคอยน์แมนนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจับตามองสำหรับ dApps ก็มีเช่น Artificial Intelligence, Logistic & Supply chain, IOT ส่วนพวกด้าน Finance เช่นพวก Wallet, Lending ก็น่าจะมาแรงเช่นกัน แต่ปัญหาก็อาจจะเป็นเรื่องคู่แข่งเยอะ ทำคล้ายกันเยอะ เพราะฉะนั้นก็ต้องเลือกดีๆกันนะครับ
ถ้าเราสังเกตอุตสหกรรมด้านบนนี้เราจะพบสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งนั้นก็คือ “ขนาดของตลาด” ทุกอุตสาหกรรมต่างมีขนาดตลาดที่ใหญ่ระดับ $Trillion แต่ก็มีความยากที่จะทำสำเร็จ (การ disrupt อุตสาหกรรมขนาดใหญ่นั้นยากมากๆ ไม่ใช่ทุกฝ่ายจะเล่นด้วย) นี่ก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่านักลงทุนในวงการ Crypto ชอบที่จะลงทุนกับโปรเจคที่มี market size ใหญ่ระดับ global scale มีสิทธิได้ผลตอบแทนสูง แม้ว่าโอกาสความสำเร็จจะต่ำกว่าโปรเจคเล็กๆที่แก้ปัญหา niche เฉพาะด้านก็ตาม
7. ตลาดกระทิง ทะลุ $1 trillions
จากต้นปีมาตอนนี้ หลายคนอาจคิดว่าปีนี้ตลาดหมีแน่ๆ BTC ร่วงเกิน 60% จากจุดสูงสุด หรือ Alt ที่บางตัวร่วงถึง 80% ได้ แต่คอยน์แมนยังเชื่อว่าปีนี้แหละ เราได้เห็นมูลค่าตลาดทะลุ 1ล้านล้านดอลลาร์
ถ้าเรามองระยะสั้นเราอาจเจอข่าวแย่ๆเต็มไป มากันได้ทุกวัน แต่ถ้าเราดูดีๆแล้ว เราจะเห็นว่าเบื้องหลังมันมีการเคลื่อนไหวในทางที่ดีอยู่มาก ซึ่งน่าจะเป็นตัวดันมูลค่าตลาด เมื่อจังหวะใช่ เช่น
- Positive regularoty stance: รัฐเริ่มเตรียมความพร้อม ตั้งกฎเกณฑ์ให้คนเทรด Crypto กันได้ถูกต้องอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องบวกครับ ดีกว่าการแบนแน่นอน ในขณะเดียวกัน หลายๆประเทศก็จะเริ่มใช้แนวทางนี้ เนื่องจากไม่มีประเทศไหนอยากตามคนอื่นเค้าไม่ทัน
- Commercial adoption: ร้านค้าเริ่มให้ความสนใจในการรับ Crypto และในขณะเดียวกัน คนที่อยากจ่ายด้วยเหรียญก็มีมากขึ้น (ดูจาก survey ของ Square หรือจากที่คนอยากได้ Debit card ที่ถอนเป็นเงินสดได้ ว่ามีคนต้องการเอา Crypto Asset เหล่านี้มาใช้มากขนาดไหน) ซึ่งนี่ถือเป็น real adoption เลยครับ ปีนี้เราน่าจะได้เห็นบริษัทเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการจ่ายเงินโดยไม่ต้อง Cash out ซึ่งจะทำให้การใช้ Cryptocurrency นั้นพุ่งสูงมากอย่างแน่นอน
- Institutional investors: พอรัฐไฟเขียวกับการลงทุน Crypto เราจะได้เห็นพวกสถาบันการเงินนั้นจะเข้ามามากอย่างแน่นอน เราดูได้จากที่มีการสร้างโปรดักส์เพื่อรองรับลูกค้าสถาบันโดยเฉพาะผุดขึ้นมามาก หรือแม้แต่การที่พวกนักลงทุนรายใหญ่เริ่มลงทุนในบริษัทที่ทำ Blockchain มากขึ้นเรื่อยๆ
ปิดท้าย
ราคาระยะสั้นนั้นไม่ได้เป็นจุดบ่งบอกอนาคตของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่าง Blockchain นะครับ
คอยน์แมนเชื่อว่าโลกเรากำลังมุ่งสู่ Decentralized economy ดังนั้นในระยะยาวแล้ว ตลาดนี้น่าจะเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของโลกเลยครับ
ติดตามบทความใหม่ๆได้ทางเพจคอยน์แมนครับ