พฤติกรรมการใช้ Exchange ของคนไทย
จากการสังเกตพฤติกรรมการเทรดในคริปโตคอมมูนิตี้ในช่วงสองปีหลังที่ผ่านมา เราสามารถแบ่งพฤติกรรมการใช้เว็บเทรดในประเทศของคนไทยได้ออกเป็นสองกลุ่มซึ่งก็คือ นักเทรดที่ใช้งานเพียงแค่ Exchange ไทย และนักเทรดที่ใช้งาน Exchange ต่างประเทศ เรามาดูกันครับว่าแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมอย่างไร
นักเทรดที่ใช้งานเพียงแค่ Exchange ไทย
นักเทรดกลุ่มนี้ส่วนมากจะเป็นกลุ่มนักเทรดที่เพิ่งเข้ามาในตลาดใหม่ หรือเป็นนักเทรดที่เทรดมานานแล้วแต่เลือกที่จะเทรดเฉพาะคู่เทรดหลักเช่น BTC, ETH, XRP ที่พอมี Volume ให้เทรดบนเว็บเทรดไทย และเหรียญอื่นๆในกระดานที่ตามกระแสข่าวเช่น OMG และ EVX คนเหล่านี้ค่อนข้างที่จะยึดติดกับเว็บเทรด พวกเขาจะไม่ย้ายเว็บเทรดง่ายๆถ้าไม่มีแรงจูงใจที่ดีพอ
นักเทรดที่ใช้งาน Exchange ต่างประเทศ
กลุ่มนักเทรดที่นี้โดยส่วนใหญ่แล้วนักเทรดที่มีความเชี่ยวชาญระดับนึง กลุ่มนี้จะเทรดอย่างหลากหลายเช่น
- ลงทุนในเหรียญ Altcoin ที่มีศักยภาพ โดยมีทั้งเหรียญมูลค่าเล็กไปใหญ่ แล้วแต่ความชำนาญ
- ลงทุนใน ICO/IEO เพื่อโอกาสทำกำไรสูงกว่าเหรียญเก่าๆ
- เทรด Derivative หรือ Financial Product ต่างๆเช่น Future, Option, Index และอื่นๆ
โดยนักเทรดที่ชำนาญแล้วจะใช้เว็บเทรดในไทยเป็นแค่จุดแลกเงินบาทหรือจุด Cash-in Cash-out เท่านั้น และจะโอนเงินไปเทรดต่อตามเว็บเทรดต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน ก็ยังถือว่ามีนักเทรดมือใหม่อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่นคนที่มีเหรียญในใจแล้วว่าอยากจะซื้ออะไร เพราะได้ยินมาว่ามันดี แต่เหรียญนั้นไม่ลิสอยู่ในเว็บเทรดไทย ดังนั้นนักเทรดกลุ่มนี้จึงต้องสมัครทั้งเว็บเทรดไทยเพื่อเอาเงินบาทเข้า และเว็บเทรดนอกเพื่อเอาเหรียญ BTC หรือ ETH ที่ซื้อจากเว็บเทรดไทยไปซื้อเหรียญนั้นในเว็บเทรดนอก
จุดอ่อนของ Exchange ไทย
จากการศึกษา เว็บเทรดของไทยตั้งแต่ได้ใบอนุญาติชั่วคราวจจาก กลต. จนกระทั้งได้ใบอนุญาติเต็มใบ เราได้เห็นปัญหาทั้งหมดของเว็บเทรดไทยดังนี้
-
ไม่มีโวลุ่มและสภาพคล่อง
โวลุ่มที่น้อยถือเป็นปัญหาหลักอันดับต้นๆของเว็บเทรดไทย การซื้อขายถ้าขาดสภาพคล่องทำให้นักเทรดนั้นไม่อยากจะเทรดบนเว็บนั้น แม้ว่าบางเว็บพยายามใช้บอทเพื่อสร้างโวลุ่มปลอมขึ้นมา (Order หลบตลอด) ก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่เนื่องจากนักเทรดซื้อขายจริงจังไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่ต้องการซื้อขายเป็นจำนวนมาก ปัญหานี้คิดว่าหนักแล้วกับคู่เทรดหลักอย่าง BTC หรือ ETH แต่ในความเป็นจริงมันยังหนักกว่าสำหรับ Altcoin เล็กๆที่แม้เว็บเทรดในไทยพยายามจะลิส แต่มันไม่มีโวลุ่มให้เทรดเลย (ถ้าเหรียญ Altcoin นั้นสามารถเทรดในต่างประเทศได้และมีโวลุ่ม น้อยคนจะกลับมาฝืนเทรดเหรียญเดียวกันบนเว็บไทยที่โวลุ่มต่ำมาก)
-
ความโปร่งใสกับเงินฝากลูกค้า
ในตอนนี้เราต้องอาศัยความเชื่อใจกับเว็บเทรดล้วนๆ เราไม่สามารถตรวจสอบได้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วเว็บเทรดมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ จำนวนเท่ากับที่ลูกค้าฝากเข้าไปไหม และเขาเอาเงินเราไปใช้ทำอะไรหรือเปล่า ดังนั้นไม่แปลกที่เรื่องความน่าเชื่อถือของแบรนด์และที่มาที่ไปนั้นสำคัญกับคนไทย อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การมีมาตรการบังคับในการรับผิดชอบเงินฝากของนักลงทุนนั้นจำเป็นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
-
จุดขายน้อยเมื่อเทียบกับเว็บเทรดต่างประเทศ
นอกจากเรื่องโวลุ่มและสภาพคล่องแล้ว เราสามารถพูดได้ว่าฟังค์ชันของเว็บเทรดไทยนั้นด้อยกว่าต่างประเทศมาก ตัวอย่างเช่น เว็บเทรดไทยในปัจจุบันยังไม่มี Financial Product อื่นๆเช่น Future, Option หรือ Index ให้คนไทยเล่น
-
ความไม่แน่นอนทางภาษี
ต้องยอมรับว่าภาษีสำหรับสินทรัพย์ดิจิตอลนั้นทำให้หลายคนมีความกังวัลที่จะเทรดกับเว็บเทรดไทยมากขึ้นแล้วหันไปใช้เว็บเทรดต่างประเทศเป็นหลัก
-
การฝากเงินที่ยุ่งยาก และการถอนเงินที่ช้า
ในตอนนี้เวลาเราจะฝากเงินเข้าเว็บเทรดเราต้องพิมตัวเลขที่ไม่เป็นจำนวนเต็มตามที่เว็บบอก และยังต้องส่งหลักฐานการโอนเงินไปให้เว็บ แถมเงินที่เราฝากเข้าไปก็ไม่ได้เข้าในทันทีอีกด้วย เว็บเทรดไทยที่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ไม่ว่าจะเป็นหน้าใหม่หรือหน้าเก่าจะถือเป็นเว็บที่มีศักยภาพที่จะมาเป็นผู้นำในตลาดเว็บเทรดของไทยอย่างแน่นอน
ผู้เล่นปัจจุบันที่อยู่ในตลาด
ปัจจุบันเว็บเทรดสกุลเงินดิจิตอลที่ถูกกฎหมายและได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ในประเทศไทย มีเพียง 3 เว็บเทรดได้แก่ Bx.in.th , Bitkub.com และ Satang.pro ซึ่งทั้ง 3 เว็บเทรดต่างก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป
- Bx.in.th โดดเด่นในเรื่องปริมาณซื้อขายต่อวันทีมากที่สุดในไทยตอนนี้ และยังเป็นเว็บเทรดแรกที่เปิดทำการในประเทศไทย จึงทำให้ได้เปรียบในเรื่องของจำนวนผู้ใช้งานและความน่าเชื่อถือที่สะสมมานาน (คนใช้ได้ไม่มีปัญหาก็ไม่ค่อยย้ายกัน)
- Bitkub.com เป็นเว็บเทรดที่ผู้ก่อตั้งและทีมบริหารเป็นคนไทยเกือบทั้งหมด และเป็นคนที่พวกเราคุ้นเคยกันดี โดดเด่นเรื่องแผนการตลาดที่จูงใจให้คนไทยมาเทรด โดยแจกเครดิตค่าธรรมเนียมให้เทรดกันฟรีๆในช่วงเริ่มต้น บวกกับรูปแบบเว็บไซด์ที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน
- Satang.pro ชูจุดเด่นเรื่องการฝาก-ถอนเงินบาท ที่ทำได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกับมีระบบ Demo ให้มือใหม่ได้ทดลองเทรดก่อนเข้าสู่สนามรบจริง อีกทั้งยังมีกิจกรรมการสอนคนเทรดอยู่เรื่อยๆ
จะเห็นได้ว่าแต่ละเว็บเทรดในไทย ต่างก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะตอบโจทย์ต่อความต้องการของนักเทรดในประเทศไทยได้ทั้งหมด ซึ่งปัญหาหลักๆก็มีหลายสาเหตุตามที่ได้กล่าวไปแล้วในช่วงต้นของบทความ เช่น ไม่มีโวลุ่มมากพอ ไม่มีเหรียญที่ต้องการเทรด หรือความไม่แน่นอนด้านภาษี เป็นต้น
ผู้เล่นหน้าใหม่ๆที่กำลังจะเข้ามา
ในอนาคตก็เริ่มมีข่าวเกี่ยวกับเว็บเทรดรายใหม่ในไทย ที่กำลังพิจารณาหรือยื่นขอใบอนุญาตเว็บเทรดจาก ก.ล.ต. ไทยจำนวนหลายราย ไม่ว่าจะเป็น Huobi Thailand และ Zipmex ที่ได้ยื่นขอใบอนุญาตไปแล้ว และอยู่ระหว่างรอพิจารณา หรือแม้กระทั่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่กำลังพิจารณาหาช่องทางในการเข้ามาในอุตสาหกรรมเว็บเทรดสกุลเงินดิจิตอลอยู่ในขณะนี้ (เท่าที่พอทราบมานะครับ)
- Huobi Thailand ที่กำลังขอระหว่างยื่นขอใบอนุญาตในไทยตอนนี้ ก็เป็นอะไรที่น่าจับตามอง เพราะเดิมที Huobi Global ก็เป็นเว็บเทรดระดับโลก โดยมี Financial product ให้นักเทรดเลือกกันหลากชนิดไม่ว่าจะเป็นทั้ง Future, Index หรือ Altcoin อีกมากมายให้เลือกเทรดกัน (สำหรับ Altcoin ก็เป็นรองเพียง Binance) เมื่อ Huobi เข้ามาทำตลาดเว็บเทรดในไทย ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจว่าจะเข้ามาเติมเต็มสภาพคล่องในตลาดไทยตอนนี้ได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะคู่เทรดเงินบาทและจะสามารถนำ Product จากเว็บหลักมันมาให้คนไทยใช้ได้หรือไม่
- Zipmex เว็บเทรดที่มีบริษัทหลักทรัพย์เออีซี (AEC Securities) เป็นพาร์ทเนอร์ นับได้ว่าเป็นอีกบริษัทที่กำลังยื่นขอใบอนุญาติกับ กลต. และน่าจับตามอง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เล่นที่ช่ำชองด้านหลักทรัพย์และตลาดหุ้นเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดคริปโต ถ้าพวกเขาเหล่านั้นจะเข้ามาจริงๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Zipmex จะมีความได้เปรียบมากกว่าเจ้าอื่นๆในเรื่องการดึง Traditional Investor หรือนักลงทุนจากตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นฐานลูกค้าของเออีซีมา บวกกับความน่าเชื่อถือที่ตอบโจทย์กับกลุ่มนักลงทุนที่ยังไม่กล้าเข้ามาในโลกคริปโต
- SET หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่ต้องบรรยายอะไรมากเรื่องความใหญ่และความน่าเชื่อถือของเจ้าตลาดวงการหุ้นของไทยนี้ ซึ่งทาง SET ก็กำลังพิจารณาหาพันธมิตรเพื่อลงมาสู้ศึกในสังเวียนเว็บเทรดของไทย แม้ว่าจะยังไม่มีทิศทางแน่ชัด แต่จุดเด่นที่น่าสนใจคือการย้ายตลาดทุน ตลาดหุ้นสู่ตลาดสกุลเงินดิจิตอล ที่น่าจะมีเม็ดเงินมหาศาลหลั่งไหลเข้ามา และแน่นอนมันจะทำให้เว็บเทรดทั้งหลายในไทยสั่นคลอนอย่างแน่นอน
นี่เป็นตัวอย่างของผู้เล่นหน้าใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามาเพียงไม่กี่รายเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว คอยน์แมนก็เชื่อว่ายังมีอีกหลายเว็บเทรดที่กำลังยื่นขอใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจกระดานซื้อขายสกุลเงินดิจิตอลในประเทศไทยอีกมากมาย (ต้องขอโทษนะครับถ้าไม่ได้กล่าวถึงใคร เพราะรู้มาแค่นี้จริงๆ :))
อนาคตของ Exchange ในไทย
แม้ว่าเราจะเห็นจุดด้อยต่างๆของ Exchange ไทยในตอนนี้ แต่ก็อย่าลืมว่า เว็บเทรดเหล่านี้ยังเป็นเสมือน Gateway ให้เราฝากเงินบาทเข้าไปซื้อเหรียญ Crypto ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นมันจะไม่หายไปไหนอย่างแน่นอน (จุดที่เว็บระดับโลกก็เข้ามาแย่งไม่ได้ ถ้าไม่ลงสนามในไทย)
อีกเรื่องนึงที่น่าสนใจก็อาจเป็นการผสมผสานนำ ICO/STO ทั้งในไทยและต่างประเทศมาเสนอกับคนไทย หรือแม้แต่พวก Tokenized Securities เช่นซื้อขายที่ดิน ทอง ในรูปแบบเหรียญ ก็อาจจะเป็นจุดเด่นที่คนไทยสนใจกันก็ได้ (ย้ายหลักทรัพย์ทุกอย่างมาบน Exchange เหล่านี้!?) สิ่งนี้จะทำให้คนไทยเข้าถึงการลงทุนดีๆจากทั่วโลกได้ง่ายขึ้น
ในส่วนของคู่แข่ง นอกจากพวกเว็บเทรดต่างชาติแล้ว ยังมี Decentralized Exchange (DEX) ที่สามารถเป็นคู่แข่งได้เหมือนกัน เพราะสามารถทำให้คน OTC เงินบาทกันได้ แต่ถ้าจะทำให้ใช้ง่ายเหมือนเว็บเทรดจริงๆโดยยังคงความเป็น DEX กับเงินบาทนั้น ก็อาจจะต้องรอ Stable coin รูปแบบเงินบาทกันละครับ ถึงตอนนั้น Exchange ไทยเดิมๆอาจเจอกับความท้าทายใหม่ๆแน่นอน
ส่วนตัวคอยน์แมนก็เชื่อว่าการแข่งขันที่สูงสำหรับทั้งเว็บที่เปิดแล้ว และเว็บเทรดที่กำลังคิดจะเปิดตัว จะทำให้เกิดความสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างแน่นอน
ติดตาม Coinman ได้ที่ https://www.facebook.com/coinmanth/
หรือที่ Telegram Channel และ LINE@ ครับ