Bitcoin เป็นเงินรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ โดย Bitcoin นั้นมีคุณสมบัติที่น่าสนใจ คือมันเป็นเงินที่:
- ใครก็สามารถเข้ามาใช้ได้ไม่ต้องขออนุญาติ
- ทำงานได้โดยไม่มีวันหยุด
- คล่องตัว ไร้พรมแดน
- ไร้การควบคุมโดยองค์กรหรือรัฐ
- ไม่มีใครยึดหรือเซนเซอร์ธุรกรรมมันได้
- แตกทศนิยมย่อยได้ไม่จำกัด
- มีจำนวนจำกัดและปริมาณการเพิ่มขึ้นรายปีที่ชัดเจน
มันก็ไม่แปลกครับ ที่จะมีคนยก Bitcoin เป็นเหมือน Standard ของเงินในอุดมคติที่มนุษย์ตามหากันมานานนั้นเอง
การเปรียบเทียบที่ผิด
คนส่วนมากพอได้ยินคำว่า Bitcoin จะมาแทนทอง เป็นเงินสกุลหลักของโลก เป็น safe haven หรือจะมาเป็นเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเมื่อเกิดวิกฤต พอได้ยินแบบนี้ คนส่วนมากก็เข้าใจผิดกันครับ นั่งวาดกราฟตีกราฟเทียบ พยายามหา Correlation ของ Bitcoin กับตลาดหุ้นเอย ทองเอย สุดท้ายหาให้ตายก็ไม่เจอหรอกครับ แล้วคนกลุ่มนี้ก็จะสรุปว่า Bitcoin fail หรือล้มเหลวที่จะมาเป็นอย่างที่คนหวัง ความคิดแบบนี้ผิดถนัดเลยครับ และเกิดจากการไม่เข้าใจ Bitcoin
สถานะของ Bitcoin ในตอนนี้
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า…
- ไม่มีทางที่จู่ๆคนยอมรับว่า Bitcoin คือ ทอง 2.0 และเป็นทรัพย์สิน standard ใหม่ที่ทั้งโลกยึดเป็นกลาง
- ไม่มีทางที่ Bitcoin จะ“ค่อยๆ”กลายเป็นสกุลเงินที่ทุกคนใช้กัน
โอเค.. ฟังดูแล้วมันก็เหมือนที่ทุกคนพูดกันใช่ไหมครับว่า Bitcoin จะถึงจุดจบ เพราะมันเป็นสิ่งที่คนหวังไม่ได้ แต่เราอย่าลืมนะครับว่า Bitcoin นั้นยังใหม่มาก และที่มันไม่แปรผันดั่งสมมุติฐานของหลายๆกูรูที่พยายามพิสูน์ หรือเป็นอย่างที่คนหวังก็เพราะ:
- Bitcoin ยังไม่ได้มี”โอกาส”พิสูจน์ตัวเองในช่วงวิกฤต (เพราะตอนนั้น Bitcoin ยังไม่เกิด) ดังนั้นนักลงทุนส่วนมากไม่กล้าที่จะใช้ Bitcoin hedge หรือลดความเสี่ยงในตลาดทุนหรอกครับ
- ในปัจจุบัน Bitcoin เป็นที่เล่นสำหรับนักเก็งกำไรซะมากกว่า เนื่องจากมันเหวี่ยงดี ดังนั้นถ้าเศรษฐกิจเริ่มไม่ดีในระยะสั้น คนกลุ่มนี้ก็หนีออกครับ เพราะเค้าไม่มีเงินเหลือมาเล่น มันยังเป็นตลาดสำหรับคนเอาเงินเหลือๆมาเสี่ยงดูอยู่
- ที่สำคัญที่สุด มันไม่มี drive หรือแรงผลักให้คนจู่ๆเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะใช้เงินบาท เงินดอลลาร์ ซื้อ ETF ทอง ก็สบายอยู่แล้ว
ดังนั้นผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า มันยังไม่ได้มีโอกาสโชว์ศักยภาพเลยครับ และการที่มันจะเป็นอย่างที่คนหวังได้นั้น ไม่ใช่เพราะกูรูบอก การมี Bitcoin ETF หรือมีร้านเปิดรับ Bitcoin แต่กลับเป็นสิ่งที่เรียกว่า “Burning Platform”
Burning Platform
มีเรื่องเล่าอยู่ว่า เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นครั้งหนึ่งจากการที่เรือล่มกลางทะเล โดยมีผู้รอดชีวิตไม่กี่คน พอเราไปถามผู้รอดชีวิต ว่าเค้ารอดเพราะอะไร เค้าก็ตอบว่า ตอนที่เรือกำลังจะจม เค้าเห็นแท่นไม้ในทะเลลอยอยู่ เค้าจึงเลือกกระโดดลงไปในทะเล เพื่อเข้าไปหาแท่นไม้นั้น พอถามทำไมเค้าถึงเลือกกระโดดไปในทะเล ทั้งที่ความเย็นนั้นก็ฆ่าเค้าได้เช่นกัน หรือเค้ารู้ได้ไงว่าแท่นไม้นั้นจะรับน้ำหนักและทำให้เค้ารอดได้ คำตอบคือ เค้าก็ไม่รู้ครับ แต่ ณ ตอนนั้น มันไม่มีทางเลือก ไม่กระโดดก็ตาย ดังนั้นพูดง่ายๆก็คือ ไปเสี่ยงตายเอาดาบหน้าดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับ Bitcoin อาจจะไม่ใช่แผ่นไม้ในทะเลซักทีเดียว แต่มันก็เหมือนเป็นเรือลำหนึ่งในทะเล ที่เราก็ไม่รู้มันจะพาเราไปได้ไกลมาเท่าไหร่ มันจะดีขนาดไหน แต่พอเรือหลักของเรากำลังจม แน่นอนครับว่าเราต้องหาทางรอด และเรือ Bitcoin ก็เปรียบเสมือนทางออกทางหนึ่งนั่นเอง
สภาพแบบไหนที่ทำให้ Bitcoin เกิดได้จริงๆ:
- วิกฤตเศษฐกิจเกิดขึ้น แล้วคนไม่สามารถเข้าถึงทองหรือทรัพย์สินที่ปลอดภัยแบบอื่นได้ทัน เช่นวิกฤตการเงินใน Venezuela, Zimbabwe ที่คนไม่มีทางเลือกแต่ต้องกระโดดไปหา Bitcoin เพราะจำเป็น (สมัยก่อนไปประเทศเหล่านี้ ไม่มีใครรู้จัก Bitcoin หรอกครับ ไม่มีความสำคัญ แต่เพราะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนจำเป้นต้องเอาตัวรอด คนจึงต้องมาพึ่ง Bitcoin เพราะมันเข้าถึงง่ายและเคลื่อนย้ายง่ายที่สุด)
- ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ชนชั้นกลางมีทางเลือกมากมายนอกจาก Bitcoin แต่อย่าลืมว่า ถ้าวิกฤตนั้นเป็นวิกฤตสกุลเงินหละ ถึงตอนนั้นโอกาสที่คนเลือก Bitcoin ก็จะกระโดดมา Bitcoin ก็สูง
- การที่นักลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะรายใหญ่รวมถึงรัฐบาล ตัดสินใจเสี่ยงกระโดดมาบน Bitcoin ทำให้เกิด Network effect อย่างแน่นอน
- วิกฤตที่ทำให้ไม่มีใครเชื่อใจในสกุลเงินของรัฐบาลไหนๆ และในขณะเดียวกันไม่สามารถเข้าถึงทอง(หรือถอนได้จริง) ในเคสนี้ผู้คนจำเป็นต้องหาทรัพย์สินใหม่ที่เป็นกลาง ที่เข้าถึงได้ทุกที่ ทรัพย์สินที่จะมาเป็น standard ใหม่ที่ไร้ซึ่งประเทศใดควบคุม มันก็คือ Bitcoin นั่นเอง ที่ผู้คนจะเริ่มยึดเป็น standard ใหม่ของโลกเสมือน ทอง 2.0
แล้วทำไมต้อง Bitcoin?
ตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดวิกฤตสกุลเงินกับดอลลาร์ แปลว่ารัฐที่ถือเงินดอลลาร์ต้องหนีไปสกุลอื่น เราจะหนีไปถือสกุลไหนดี หยวน เยน ดอลลาร์ บาท? หนีไปทางไหนก็เจอแต่เงินรัฐใช่ไหมครับ แปลว่าเราต้องเชื่อว่าสกุลเงินของ จีน ญี่ปุ่น จะไม่ล่ม จะปลอดภัยต่อวิกฤต ซึ่งธรรมชาติเงินรัฐมันไม่ปลอดภัยหรอกครับ ดูได้เลยจากประวัติศาสตร์ จากเงินโรมันถึงเงินเยอรมัน เพราะรัฐมันสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายควบคุมได้ตลอด แถมยังเชื่อโยงกับเศรษฐกิจประเทศอีกด้วย อีกทั้งเงินของบางชาติเองมีมูลค่าก็เพราะใน reserve มีเงินดอลลาร์อยู่ ถ้าวิกฤตเกิดขึ้นกับดอลลาร์จริง ค่าเงินเหล่านั้นก็สั่นคลอนนั่นเอง ดังนั้นถ้าเราจะหาที่พึ่งที่เป็นกลาง ก็จะนึกถึงทองใช่ไหมครับ ที่ไม่มีชาติไหนเป็นผู้กำกับ แต่!!
- ทองนั้นถูกควบคุมได้ง่าย เช่นถ้าคนที่เราฝากทองไว้ไม่ให้เราถอนหละ (ส่วนมากคนเก็บทองกันเองจำนวนมากไม่ไหวอยู่แล้ว)
- บางประเทศมีกฏที่ว่ารัฐสามาระเข้ายึดทองได้หากเกิดวิกฤต (แต่ไม่มีใครมายึด Bitcoin เราได้)
- ปริมาณทองนั้นจำกัดก็จริงบนโลก แต่เราก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมีเท่าไหร่ จะเพิ่มเข้ามาแต่ละปีเท่าไหร่ (สำหรับ Bitcoin เรารู้จำนวนแน่นอนที่ 21ล้านเหรียญ)
- ในเคสที่คนแห่ขุดทองเพิ่ม จำนวนทองในตลาดก็เพิ่มเช่นกัน (แม้ว่าจะน้อยกว่าแร่ชนิดอื่นมาก แต่ก็ยังเทียบ Bitcoinที่ไม่ว่าจำนวนคนขุดเพิ่มเท่าไหร่ เรามีจำนวน Bitcoin เพิ่มในแต่ละปีที่ชัดเจน)
- นักลงทุนเข้าถึงทองจริงๆได้ยาก ตลาดส่วนมากจะเป็นการซื้อขาย Paper gold หรือทองกระดาษ ที่เราไม่ได้ซื้อทองจริงๆทำให้ถูกควบคุมได้ง่าย (ราคาจะไม่ได้สะท้อนถึง demand ของทองจริงๆ)
- เวลาเกิดวิกฤตจริงๆ เราเข้าถึงและครอบครองทองจริงๆได้ยาก (กลับมาที่พ้อยท์ที่เราต้องฝากคนอื่นเก็บทองให้)
- การเคลื่อนย้ายก็ยาก เพราะต้องมีการเคลื่อนย้ายทองแท่งเกิดขึ้น ยิ่งมูลค่ามากยิ่งลำบากและยิ่งแพง (ในขณะที่ Bitcoin สามารถเคลื่อนย้ายมูลค่าเป็นพันล้านบาทในเวลาแค่ 10 นาที ด้วย fee ไม่ถึง 30 บาท)
- การนำมาใช้จ่ายซื้อของยิ่งยากกว่า
มันมีในเรื่องของยุคสมัยด้วย เช่น
- เด็กรุ่นใหม่นั้นมีแนวโน้มที่จะเรียนรู้และซื้อทอง (หรือแม้แต่เข้าถึง) ได้ต่ำมาก กลับกันการเข้าซื้อ Bitcoin เป็นเรื่องที่ง่ายและใกล้ตัวกว่าสำหรับเด็กรุ่นนี้
- มนุษย์มีแนวโน้มที่จะหาสินทรัพย์ใหม่ที่ดีกว่า ไม่ย้อนกลับไปใช้อันเก่า
- การที่เราสามารถมีสินทรัพย์ที่เราเป็นเจ้าของได้จริงๆ และโอนย้ายโดยไม่ต้องพึ่งตัวกลางหรือให้ใครมาแทรกแทรง ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นขึ้นเรื่อยๆในอนาคตที่เราไว้ใจใครไม่ได้
มีทางเดียวครับ ที่ Bitcoin จะล้มเหลว นั่นก็คือมีสกุลเงินที่ดีกว่า Decentralise กว่า เชื่อมั่นในความเป็นกลางได้มากกว่า ปลอดภัยจากการโดนโจมตีมากกว่า ประสิทธิภาพการใช้งานสะดวกว่า มีความส่วนตัวสูงกว่า
ปิดท้าย
สรุปแล้ว Bitcoin นั้นมีศักยภาพในการมาเป็น Standard ของเงินหรือสกุลเงินกลางของโลก ที่อยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็คุมไม่ได้ หยุดมันไม่ได้ อายัดมันไม่ได้ สกุลเงินที่เปิดให้ทุกคนบนโลกใช้ได้ และมีอำนาจทางการเงินเท่าเทียมกัน
คอยน์แมนเชื่อในไอเดียที่ว่าเงินกับรัฐควรจะถูกแยกออกจากกัน สิ่งนี้คือเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะใหญ่มาจากไหน จะยื้อมันไม่ให้เกิดขนาดไหน สุดท้ายมันก็ได้แต่ชลอการมาของ Standard ใหม่นี้ครับ เพียงแต่เราต้องมาดูกันครับ ว่ามันจะเป็น Bitcoin Standard หรือ Cryptocurrency สกุลอื่นในอนาคต 🙂
ติดตามบทความใหม่ๆได้ทางเพจคอยน์แมนครับ
https://www.facebook.com/coinmanth/
หรือที่ Telegram Channel และ LINE@ ครับ