มุมมองตลาดและเทคโนโลยี

Facebook Coin “Libra” ใครได้ ใครเสีย กับแผนการกินรวบอำนาจแห่งทศวรรษ

Facebook Coin หรือ Libra คืออะไร?

Facebook Coin หรือเหรียญที่มีชื่อเรียกว่า “Libra” เป็นสกุลเงินดิจิทัลสร้างโดย Facebook และกลุ่มสมาคมไม่แสวงผลกำไร Libra Foundation โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายเป็นสมาชิก โดยสกุลเงินดิจิทัลสกุลนี้จะออกแบบมาให้มีมูลค่าคงที่ หรือที่เรียกว่า “Stable Coin” เพื่อให้ใช้งานเป็นเสมือนสกุลเงินกลางของคนทั้งโลก เพราะฉะนั้นมันไม่ได้มีไว้เก็งกำไรนะครับ 🙂

อธิบาย Stable Coin ฉบับย่อ

ปกติแล้วเงินดิจิทัลที่เป็น Stable Coin ก่อนหน้านี้ จะมีเงินสกุลเดียวค้ำ เช่นเดียวกับ USDT หรือ US Dollars Tether ที่ 1 USDT จะเท่ากับ 1 USD ที่ค้ำอยู่ในธนาคารเสมอ (1:1 นั่นเอง)

แต่ความพิเศษของ Libra คือ เป็นเงินที่ค้ำด้วยเงินสำรองของสมาคม Libra ซึ่งพูดง่ายๆก็คือว่า Facebook ต้องการจะบอกว่ามันมีมูลค่าค้ำอยู่นะ ไม่ใช่เงินลอยๆ โดยที่เงินสำรองนั้นจะมีเงินจากหลากหลายสกุลเงิน เช่น USD 25% YEN 25% GBP 25% EUR 25% คละๆกันไป หรือในอนาคตอาจจะมีเงินสกุลอื่นหรือสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอื่นๆเข้ามาอยู่ในเงินสำรองนี้ก็ได้   

Libra จะมั่นคงระดับหนึ่ง เนื่องจากค้ำด้วยเงินหลายสกุล หากเงินสกุลใดสกุลหนึ่งเกิดปัญหาเสื่อมค่าจากอัตราแลกเปลี่ยน มูลค่าส่วนอื่นจากค่าเงินอื่นที่เหลืออยู่ไม่ได้เสื่อมด้วย ดังนั้นกองเงินสำรองนี้จะสามารถรักษามูลค่าไว้ได้ ตรงนี้ต้องยอมรับว่า Facebook มองขาด และถือว่าทำตัวเป็นกลางไม่ได้ใช้แต่ USD อีกด้วย (ถ้าใช้แต่ USD ก็อาจจะโดนประเทศอื่นกีดกันและหาว่าอเมริกาจะพยายามรวบอำนาจ)

การใช้งาน

เริ่มแรก ระบบการเงินนี้จะเปิดใช้ได้ใน 3 ที่ด้วยกันคือ:

  • Facebook Messenger
  • WhatsApp
  • Calibra App (เป็นแอป E-Wallet แยกออกมาสำหรับคนที่ไม่ใช้บริการของ Facebook และไม่อยากโดนเก็บข้อมูลธุรกรรมการเงินส่วนตัว)

จะเห็นได้ว่า Facebook เพิ่ม Feature การจ่ายเงินในเครือตัวเองก่อน แต่ในอนาคตเราได้เห็นแอปอื่นๆมาเชื่อมกับระบบ Libra 

ข้อจำกัดในการใช้งาน

เนื่องจาก Libra นั้นถือว่าเป็นเงินสกุลใหม่ มีการเกี่ยวข้องของเงินรัฐที่ใช้ค้ำ แถมยังทำด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่ ต่างจากพวก Bitcoin จึงไม่สามารถเปิดใช้ในทุกประเทศได้ทันทีอย่างง่ายดาย เพราะอาจติดเรื่องกฎหมายการเงินและสกุลเงินรัฐในบางประเทศ (ตัวอย่างที่โดยแบนไปแล้ว )

ในเรื่องของการยืนยันตัวตน Facebook ได้ประกาศแล้วว่าอย่างน้อยต้องมีการทำ KYC (Know Your Customer) โดยใช้ ID ที่ออกโดยภาครัฐก่อนใช้งาน Libra 

Facebook สร้าง Cryptocurrency เพื่ออะไร?

สั้นๆเลยครับ Facebook นั้นต้องการจะ:

  • เข้ามาในธุรกิจการเงินอย่างแนบเนียน เลิกเล่น Facebook ว่ายากแล้ว ลองทุกคนใช้โอนเงินกันสิ ทีนี้อยากเลิกก็เลิกไม่ได้
  • เสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจตนเอง ถ้าเราคิดว่าข้อมูลส่วนตัวมีมูลค่ามหาศาลแล้ว ข้อมูลธุรกรรมการเงินยิ่งมากกว่า
  • รุกล้ำธุรกิจต่างประเทศอย่าง่ายดาย ด้วยผู้ใช้มหาศาลทั่วโลกที่มีในมือ เปิดฟีเจอร์เดียวทุกชาติหนาวกันหมด

ทำไมต้องใช้ Cryptocurrency?

ทีนี้ Facebook จะเข้ามาทำธุรกิจการเงินยังไง ไม่ว่าจะทางไหนก็ต้องพึ่งธนาคารในแต่ละประเทศ ต้องพึ่ง Payment Gateway บริษัทเครดิตการ์ดและ ePayment ต่างๆ

การที่ Facebook มีผู้ใช้ออนไลน์มากกว่า 2พันล้านคนกระจายอยู่ทั่วโลก การไปพึ่งคนอื่นและทำตามกฎหมายการเงินในทุกๆประเทศ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย อาจไม่คุ้มที่จะทำด้วยซ้ำ

แต่ด้วยคุณสมบัติของ Cryptocurrency ที่ทำให้เราสามารถโอนเงินกันได้โดนไม่มีพรมแดน แม้แต่รัฐเองก็ตามไม่ทัน และห้ามได้ยากมากๆ ยกตัวอย่างเช่นแม้แต่ตอนนี้ เราก็สามารถใช้ Bitcoin จ่ายเงินโดยตรงกันเอง โอนเงินออนไลน์ไม่ยึดประเทศกันได้อยู่แล้ว ดังนั้นการเปิดฟีเจอร์ Libra นี้ก็จะทำให้ผู้ใช้ Facebook ทุกคนเข้าถึงระบบเงินออนไลน์ใหม่ที่ไร้พรมแดนได้ทันที

เมื่อก่อนเราว่ากันว่า “ประเทศเล็กจะถูกประเทศใหญ่กลืนกิน”

ตอนนี้เรากำลังจะเจอกับ “ประเทศเล็กและประเทศใหญ่จะถูกบริษัทอินเตอร์เน็ทกลืนกิน”

อย่าลืมนะครับว่า Facebook นั้นมีประชากรอินเตอร์เน็ทมากกว่า 2พันล้านคน ซึ่งมากกว่าประชากรใน สหรัฐอเมริกาและจีนรวมกันเสียอีก เราน่าจะพอเห็นภาพนว่า Facebook มีศักยภาพขนาดไหนในการสร้างอาณาจักรหรือประเทศออนไลน์ของตนเอง ทำให้เงิน Libra เป็นเงินอันดับหนึ่งในโลกออนไลน์ และกินรวบธุรกิจการเงินของประเทศทั่วโลก

Facebook Coin จะทำเงินได้ยังไงในเมื่อมันเป็น Stable Coin?

ดูเผินๆเราอาจจะคิดอย่างนั้น แต่อย่าลืมว่า Stable Coin นั้นถูกสร้างมาจากเงินรัฐจริงๆ โดยมีเรท 1 ต่อ 1 แปลว่าเงินลูกค้า Facebook ก้อนนี้ เป็นเงินที่จะถูกฝากธนาคารภายใต้การควบคุมของ Facebook แปลว่า Facebook นั้นสามารถทำประโยชน์กับเงินก้อนนี้ ซึ่งไม่ใช่ของตัวเองด้วยซ้ำ เช่น

  • การฝากธนาคารหรือซื้อธนบัตรรัฐ รับดอกเบี้ยกินสบายๆความเสี่ยงต่ำด้วยเงินลูกค้า
  • การเอาเงินดอกเบี้ยที่ได้โดยไร้ความเสี่ยงมาทำโปรโมชั่นให้คนมาใช้ Facebook ในการซื้อขายของมากขึ้น (เช่นใช้ Libra จ่ายแล้วได้โบนัสเหรียญฟรี)
  • การทำระบบเงินกู้ด้วย Libra
  • ให้นักพัฒนานำระบบและตัวเงิน Libra ไปใช้กับแอปต่างๆของเค้า
  • บังคับใช้เงิน Libra ในการจ่าย Service ต่างๆของ Facebook และบริษัทในเครือ
  • รายได้ทางอ้อมจากการใช้งาน Libra

การยิงโฆษณาที่คุ้มค่าและน่ากลัวกว่าเดิม

ความน่ากลัวก็ตรงรายได้ทางอ้อมนี่แหละครับ เพราะ Facebook มีข้อมูลคนเกือบทั้งโลก ซึ่งตอนนี้มันมีข้อมูลส่วนตัวของเรา ว่าเราเป็นใคร เราชอบอะไร เราต้องการอะไรจากโพสและการสนทนาของเราบน Facebook การมาของ Libra นั้นยิ่งแล้วกว่าเดิม

นึกภาพเวลาธุรกิจต้องการยิงโฆษณา แล้วสามารถเลือก target จากพฤติกรรมการจ่ายเงินของเราได้ด้วยเช่น

  • ใครซื้อของชนิดไหนจริงๆ (ไม่ใช่แค่คลิ๊ก)
  • ใครซื้อของบ่อยขนาดไหน
  • ใครมีกำลังซื้อเท่าไหร่ (เราก็อยากยิงโฆษณาให้กับกลุ่มที่มีแนวโน้มจะจ่ายเงินเราได้จริงๆใช่ไหมหละครับ)

ทำไมภาครัฐและธุรกิจในประเทศต่างๆถึงควรไหวตัวให้ทัน?

สูญเสียการควบคุม ไม่ต่างจากการเข้ามาของ Internet

อย่างที่เรารู้กัน พอ Internet เข้ามา มันทำให้รัฐไม่สามารถควบคุมการค้าและการจ่ายภาษีได้ง่ายเหมือนเก่า ซึ่งตัวอย่างง่ายๆก็ Facebook เองนี่แหละครับ เปิดใช้งานที่ไทย แต่รายได้ไหลออก ภาษีแทบไม่เสีย นั่นก็เป็นเพราะ Internet ทำให้การใช้งานเซอวิสอย่าง Social Network นี้จากที่ไหนก็ได้ ให้เราส่ง Content กันได้อย่างอิสระนั่นเอง การเข้ามากำกับดูแลเลยยากตามมา

หลายคนคงจำได้ว่า Facebook เกิดข้อพิพากกับประเทศไทย เรื่องธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตและเดบิต เพราะธุรกรรมจากคนไทยที่ซื้อโฆษณา (รายได้หลักของ Facebook มาจากโฆษณา เกือบจะ 100%) ซึ่งตามหลักแล้ว หากทำธุรกิจที่ไทย ควรจะต้องเสียภาษีที่ไทย ทั้งภาษี VAT และ ภาษีรายได้ (Income Tax) ซึ่งตรงนี้นิติบุคคลอาจเสียภาษีได้มากที่สุดถึง 20% แต่ Facebook ไม่เสียตรงนั้น เพราะเงินไปตัดบัตรที่ไอร์แลนด์ ซึ่งภาษี 0% จนมีคำกล่าวที่ว่า “ไอร์แลนด์คือสวรรค์แห่งการเสียภาษี – Ireland as a tax heaven”

ถือว่าธุรกรรมเกิดที่ไอร์แลนด์ เหมือนคนไทยทุกคนเดินไปซื้อโฆษณาจาก Facebook ที่ไอร์แลนด์ ดังนั้นถือเป็นรายได้ของ Facebook ที่ไอร์แลนด์ แม้ว่าผู้ถือบัตรจะนั่งเล่นอยู่ไทยก็ตาม ในกรณีนี้ถือว่ามาร์คใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ดีเกินไป เพราะเงินที่ไหลออกนอกประเทศไปก็ไม่น้อย

ภาษี-ดุลทางการค้า สิ่งที่ควรพึงระวังในเศษฐกิจไร้พรมแดน

ทีนี้เราเข้าสู่ยุคถัดมาซึ่งก็คือยุค Cryptocurrency หรือเงินที่ไม่ต้องมีตัวกลาง ไม่มีพรมแดน นั่นเอง คิดว่าผลกระทบจะเป็นยังไงหละครับ ขนาดแค่คนส่งข้อมูลกันอย่างอิสระ มันยังมีเวปที่ใช้ข้อมูลตรงนั้นสร้างรายได้โดยไม่ผ่านประเทศไทย ทีนี้เราพูดถึงถ้าคนไทยสามารถโอนเงินหากันเองได้บนเวปนั้นด้วย ไม่ต้องผ่านธนาคาร ไม่มีธนาคารกลางกำกับ ไม่ต้องเสียภาษีเวลาซื้อของกัน

ดังนั้น Facebook ที่เมื่อก่อนอาจเป็นเพียง Social Network ที่สามารถซื้อโฆษณาได้ แต่ด้วยการมาของ Libra จะทำให้ Facebook เป็นตลาดออนไลน์ที่ให้ผู้คนเข้ามาซื้อขายกันได้ด้วย จบภายในที่เดียว หรือเรียกว่า Social Network + Social Commerce นั่นเอง

และเมื่อมองจากขนาดของประชากรแล้ว มันคือเขตเศรษฐกิจรูปแบบนึงเลย และอาจจะเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย เพราะมีฐานประชากรมหาศาลอยู่บนนั้น

ผลก็คือ Libra จะเป็นตัวสูบความมั่งคั่งออกจากระบบเศรษฐกิจทุกประเทศ โดยปกติหากเราขายของผ่าน Lazada Shopee หรือ eCommerce สักแห่งนึง ผู้ขายจะโดนตัดส่วนนึงออกไป เพื่อเป็นกำไรของบริษัทนั้นๆ และบริษัทส่วนมากก็เสียภาษีให้แก่ประเทศอีกต่อนึง เพื่อรัฐนำเงินภาษีนั้นไปสร้างสวัสดิการทางสังคมและขับเคลื่อนประเทศ

แต่ Facebook แตกต่างเพราะทั้งตัวบริษัท และผู้ค้าขายเอง ก็ไม่ต้องเสียภาษี ธุรกรรมเกิดขึ้นบน Facebook และสื่อกลางคือ Libra

สรุปคือ Libra นั้นมีสิทธิจะทำให้:

  • ธุรกิจ eCommerce ในไทยที่ทำอย่างถูกต้อง จะสูญเสียครั้งใหญ่ เพราะร้านค้าจะเลือกที่จะไปใช้ Facebook ค้าขายแทน เพราะสามารถเลี่ยงภาษีผ่านช่องทางนี้ (ยกเว้น Facebook ยอมแจ้งให้กับรัฐ)
  • รัฐเก็บภาษีจาก Facebook ไม่ได้ เหมือนกับที่เก็บภาษีกับรายได้โฆษณาของ Facebook ไม่ได้
  • Facebook ไม่ต้องแบกรับภาระด้านสวัสดีการในแต่ละประเทศ (ไม่ต้องเสีย VAT หรือภาษีที่จะไปพัฒนาประเทศนั้น)

เงินบาทจะเสียความสำคัญไป?

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมอยากซื้อของบน Facebook

  • ผมสามารถโอนเงินโดยใช้ Libra โอนจ่ายให้ร้านค้าแทนเงินบาท
  • ในขณะเดียวกัน ร้านค้าที่ได้เงินไป ก็เอาไปจ่ายค่าจ้างต่อให้กับพนักงานหรือจ่ายค่าต้นทุนของด้วย Libra เช่นกัน (เพราะมูลค่ามันคงที่ คนรับเงินก็กล้ารับ)

สรุปคือเราไม่มีความจำเป็นต้องแลก Libra กลับมาเป็นเงินบาทเลยด้วยซ้ำ เพราะ:

  • คนพร้อมที่จะจ่ายและรับเงินจากทาง Facebook เพราะความสะดวกสบาย (ไม่ต่างกับที่คนจีนใช้ Wechat Pay หรือ Alipay)
  • ด้วยความที่มูลค่าคงที่และทำให้ผู้คนทั้งฝ่ายซื้อและขายยอมรับมัน อีกทั้งความเป็น Cryptocurrency มีผลทำให้เงินบาทที่เคยถูกบังคับใช้ในไทยเป็นสกุลเงินกลาง ถูกก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ทันที ทำให้ความต้องการของเงินบาทนั้นลดลงอย่างแน่นอน

ธุรกิจธนาคารและ ePayment จะเดือดร้อน

แน่นอนว่าร้านค้าและผู้บริโภคปรับตัวอยู่เสมอเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เราดูได้จากการขายของบน Instagram บน Facebook หรือบน Line ที่มันเกิดขึ้นเอง ภาครัฐแทบตามไม่ทันด้วยซ้ำ ดังนั้นการมาของ Libra ก็ไม่ต่างกัน หากมันมีประโยชน์ คนจะใช้มันอย่างแน่นอน ในเคสนี้

เราจะได้เห็น Facebook เข้ามาแย่งธุรกิจการเงินจากทั้งธนาคารและระบบ ePayment ในไทย เพราะ:

  • คนเก็บเงินเองได้บน Facebook
  • สามารถโอนหากันได้สะดวกสบายบนแอป Facebook
  • โอนซือของต่างประเทศได้อย่างไร้พรมแดน
  • ค่า Fee ที่ต่ำกว่าธนาคารและ ePayment
  • มูลค่าคงที่ ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

หรือพูดง่ายๆคือธนาคารและ ePayment ต่างๆหายไปจากสมการ เพราะระบบ Libra นั้นมาแทนแล้ว เราอาจได้เห็นบริษัททางการเงินเข้าสู่ขาลงจำนวนมาก จากการรุกรานของบริษัทเทคโนโลยี เพราะบริษัทเทคโนโลยีมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่าการเงินแบบเดิม

ซึ่งล่าสุดก็มีข่าวแล้วว่า ทั้ง Visa, Mastercard, Paypal จะลงทุนคนละ $10m เพื่อมาอยู่ในเครือข่ายของ Libra  แล้ว เพราะพวกนี้ไม่มีทางเลือกครับ แม้ระยะยาวจะโดนแย่งตลาดไปก็ต้องยอมเข้ามาด้วย เพราะถ้าไม่อยู่ด้วย ตัวเองก็จะโดนทิ้ง (พวกนี้น่าจะเอาธุรกิจตัวเองมาเป็นช่องทางการซื้อขาย Libra หรือเชื่อมโลกเก่ากับโลกใหม่ แต่สุดท้ายพอคนใช้ Libra กันชินแล้ว มันก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพวกนี้อีกต่อไป)

หรือแม้แต่ชาว Crypto ถ้ามันมี  Libra ที่มูลค่าคงที่แล้วใช้ซื้อของได้จริง แนวโน้มที่เราจะโอนเหรียญ Crypto กลับมา Exchange ไทย เพื่อถอนเงินบาทเข้าบัญชีธนาคารก็แทบไม่จำเป็นอีกต่อไป

Libra จะมาล้ม Bitcoin ไหม?

Libra ขาดคุณสมบัติในการเป็น Global Currency

ถ้ามี Libra แล้วจะมี Bitcoin ทำไม?

อย่าลืมนะครับว่า Facebook Coin นั้นคือการปฏิวัติวงการการเงิน โดยการตัดตัวกลางเช่นธนาคารและบริษัท ePayment ต่างๆ และย้ายอำนาจนั้นมาที่บริษัทที่มีชื่อว่า “Facebook”

เราลืมอะไรไปรึเปล่า? การย้ายตัวอำนาจการเงินจากรัฐและธนาคารนั้นอาจเป็นเรื่องดี แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ย้ายไปที่ธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook แน่นอน เพราะสุดท้ายเราก็ยังมีตัวกลางคนใหม่ที่มีอำนาจมหาศาลอยู่ดี แม้จะไม่ใช่คนเดิม

ตัวอย่างว่าทำไม Libra นั้นเป็น Global Currency ไม่ได้:

  • เราไว้ใจ Facebook ไม่ได้ ขนาดข้อมูล Profile Data ของพวกเรายังไม่รอดเลย นับประสาอะไรกับเงินครับ  
  • Libra อาจถูกภาครัฐคุกคามหรือสั่งบล็อค พูดง่ายๆก็คือไม่มี Censorship Resistance 
  • Global Currency ต้องเปิดให้ทุกคนใช้อย่างเท่าเทียม ไม่ใช่ต้องมานั่ง KYC ผ่านบริษัทเอกชนแล้วรอเค้าอนุญาติให้ใช้ (บางประเทศก็คงใช้ไม่ได้ แบบนี้จะต่างยังไงกับ PayPal)
  • แค่เปิดมาก็โดนรัฐบาล US ขอให้หยุดก่อนซะแล้ว ไม่รู้จะดราม่าอะไรกันไหม แต่แน่นอนว่าไม่ผ่านกันง่ายๆ  

การมาของ Libra ถือเป็นเรื่องดีกับตลาด Crypto

อย่างไรก็ตาม การที่คนเริ่มไปใช้ Libra และได้เห็นถึงความสุดยอดของ Cryptocurrency ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทั้งโลกจะหลงไปกับมันซักพัก เพราะมันตอบโจทย์ผู้บริโภค

แน่นอนว่า มันจะมาฆ่าระบบการเงินและ ePayment ในโลกเก่า (ซึ่งนั่นคือคู่แข่งหลักของ Libra)

แต่พอถึงวันที่คนเริ่มตระหนักถึงจุดอ่อนของ Libra ผู้คนก็จะมาหาของจริงครับ หาสกุลเงินที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของไม่ต้องพึ่งบริษัทใดๆ สกุลเงินที่เป็นกลาง ทุกคนใช้ได้อย่างอิสระและเท่าเทียม สกุลเงินที่ไม่มีใครสามารถบล็อคได้หรือเซนเซอร์มันได้ เช่น Bitcoin นั่นเอง

ดังนั้นคอยน์แมนมองว่า Libra เป็นเหมือนบันไดขั้นนึงที่จำเป็นสำหรับการให้คนหมู่มากเข้าถึงและเห็นความสำคัญของ Bitcoin ครับ

ผลกระทบกับโปรเจค Blockchain ต่างๆ

Libra จะมี Blockchain เป็นของตัวเองชื่อว่า Libra Blockchain โดยมีสเปคคร่าวๆดังนี้

  • ใช้ Proof-of-Stake (PoS) และ LibraBFT Consensus
  • Validator Node จะมาจากสมาชิกของสมาคม Libra โดยมีค่าตั้ง Node ขั้นต่ำ $10m (อาจต่ำกว่าสำหรับสมาชิกที่เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร)
  • ใช้ภาษาที่เรียกว่า Move
  • มี Smart Contract
  • มีเหรียญ 2 ชนิดในระบบ คือ Libra (Stable Coin) และ Libra Investment Token (LIT) สำหรับการ Node Staking

สรุปคร่าวๆก็คือมันเป็น Blockchain ที่ดูครบอีกตัวหนึ่ง แต่แน่นอนว่าคนที่รัน Node ได้นั้นจำกัดวง จึงทำให้เกิด Centralization หรือการรวมศูนย์เกิดขึ้น แปลว่า:

  • Blockchain เก่าๆที่มาสาย Centralization ที่มีไม่กี่ Node เช่น EOS อาจจะโดนทิ้งได้ เพราะถ้านักพัฒนาโอเคกับการสร้างแอปบน Blockchain ที่ Centralized มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปใช้ Libra Blockchain เพราะอย่างน้อยระบบก็อาจดีกว่า คนสนใจมากกว่า ผู้ใช้มากกว่า และที่สำคัญ Node ยังน่าเชื่อถือกว่าเพราะมาจากบริษัทชื่อดัง
  • ในส่วนของนักพัฒนาที่เน้นความ Decentralization ก็จะยังเลือก Blockchain อื่นที่ Decentralized จริงๆอยู่ ไม่มีผลกระทบอะไร ถือเป็นข้อดีเสียอีกที่

ดังนั้นถือเป็นข้อดีเสียอีกที่ Libra Blockchain เกิดขึ้นมา มันทำให้โปรเจค Blockchain ที่ไร้ความ Decentralization ตายไปหมด (นอกจาก Libra) เหลือแต่ Blockchain ที่ Decentralized จริงๆ

ปิดท้าย

Facebook ที่เคยเป็นเพียงธุรกิจยักษ์ใหญ่ จะกลายเป็นมหาอำนาจทางการเงินไม่ต่างกับประเทศๆนึงเลยทีเดียว โดยจุดมุ่งหมายหลักก็คือทำให้ Libra เป็นเงินออนไลน์อันดับ 1 ของโลกอย่างแน่นอน

**ถ้าประชากรมหาศาลของ Facebook ที่อาศัยอยู่ทั่วโลกมาใช้กันจริงๆ มันก็ถือว่าได้ว่ารับการยอมรับเป็นสื่อกลางหลักในการแลกเปลี่ยนได้ มาสรุป ใครได้ใครเสียจาก Libra บ้างดีกว่า

ฝั่งที่ได้:

  • Facebook แน่นอนละครับ ได้มาแย่งตลาดการเงินออนไลน์ ขยายอำนาจแพลตฟอร์มตัวเอง และทำให้โฆษณามีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากข้อมูลการเงิน
  • ผู้บริโภคและร้านค้ารายย่อย เนื่องจากกลุ่มนี้จะสามารถใช้ Libra ซื้อขายใช้จ่ายได้อย่างสะดวกสบาย มีสิทธิ์เลี่ยงภาษีได้อีกด้วย

ฝั่งที่เสีย:

  • กลุ่มการเงินเก่าเช่นธนาคารและบริษัท ePayment ที่จะสูญเสียตลาดไปเนื่องจากคนเริ่มหันไปใช้จ่ายทาง Facebook มากขึ้น
  • ธุรกิจ Online Marketplace ในไทย ที่พยายามจะสร้างตลาดกลางให้คนไปซื้อขายกัน โดยทำให้จ่ายเงินง่ายที่สุด แต่กลับมาเจอ Facebook ทำทั้ง Marketplace และ Payment แข่ง แถมนึกภาพว่ายิงโฆษณาบน Facebook แล้วกดซื้อจบบนนั้นได้เลย กลุ่มนี้มีหนาวแน่
  • รัฐบาล แน่นอนว่าเก็บภาษีได้ลดลง เงินบาทก็อาจสูญเสียความจำเป็นไปเรื่อยๆ และขณะเดียวกัน มีสิทธิ์จะโดนกลุ่มที่เสียประโยชน์ร้องเรียนว่าเป็นการแข่งขันที่ไม่แฟร์ เพราะ Facebook นั้นไม่ได้มาแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศอย่างพวกเค้า

สำหรับคอยน์แมนแล้ว Libra นั้นคือ Missing piece สำหรับการนำ Cryptocurrency ไปสู่ Mass adoption ครับ หลังจากที่เราเก้าข้ามช่องว่างนั้นได้แล้วด้วย Libra แล้ว ผู้คนทั้งโลกจะสามารถเข้าถึง Cryptocurrency อื่นๆโดยอัตโนมัติและจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับโลกการเงินที่ไม่มีวันย้อนกลับได้อย่างแน่นอนครับ

 

ติดตามบทความอีกมากมายได้ที่:

https://www.facebook.com/coinmanth/

หรือที่ Telegram Channel ครับ