ในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเราคุ้นเคยกับเงินของรัฐตั้งแต่เราจำความกันได้ จนเวลาเราพูดถึงเงินนั้น เราจะนึกถึงเงินบาท หรือเงินดอลลาร์กันโดยอัตโนมัติเลยทีเดียว
และแน่นอนว่า ตอนนี้โลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราได้เห็นการเข้ามาของเงินของประชาชนที่ไม่ขึ้นอยู่กับใครเลยทั้งสิ้น เช่น Bitcoin หรือเงินที่ไม่ได้ออกจากภาครัฐแต่เป็นกลุ่มองค์กรเอกชน เช่น Libra
ถ้าเรายึดติดกับภาพในยุคสมัยของพวกเรา เราอาจคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เงินที่ไม่ใช่ของรัฐจะได้รับการยอมรับและอยู่รอดได้ แต่ถ้าเรามองย้อนไปในอดีต เงินชนิดอื่นๆเหล่านี้ไม่ใช่เป็นไอเดียที่ใหม่ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วและเคยได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในเศษฐกิจโลกอีกด้วย
วันนี้คอยน์แมนเลยถือโอกาสมาสรุปการเปลี่ยนแปลงของเงินตราในแต่ละยุค ทำไมเงินรัฐไม่ใช่คำตอบสุดท้าย และทำไมยุคนี้จะเป็นยุคที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของเงินครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
วิวัฒนาการของเงินในอดีต จากทองคำ สู่เงินรัฐ
เงินของประชาชน “ทองคำ” เงินที่เป็นกลางที่สุด
ทองคำนั้นมีประวัติศาสตร์ด้านการเงินที่ยาวนานถึง 4,000 ปีด้วยกัน ซึ่งคุณสมบัติที่ทำให้ทองนั้นได้รับการยอมรับขนาดนั้นคือ:
- มีจำนวนจำกัดบนโลก ไม่มีใครเสกทองได้ นโยบายการเงินของทองขึ้นอยู่กับธรรมชาติ
- ได้มายาก ต้องแลกกับการลงทุนสูงในการขุด
- มีความคงทน สามารถเก็บได้ในระยะยาว
- สามารถแปรรูปเป็นเหรียญเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการใช้งาน
ซึ่งในสมัยก่อน ผู้คนนั้นใช้เหรียญทองในการจับจ่ายใช้สอย แม้ว่าเหรียญที่ใช้นั้นจะตีตราอะไรก็ไม่สำคัญเท่าไหร่ เนื่องจากคนดูมูลค่ามันเทียบเท่ากับน้ำหนักและปริมาณทองที่อยู่บนนั้นจริงๆ (เท่ากับว่าประเทศที่ตีตราเหรียญทองนั้นก็ไม่ได้มีอำนาจเหนือธรรมชาติของทองนั่นเอง)
ในเคสที่คนผลิตเหรียญทองเริ่มตุกติกและลดปริมาณของทองลงในแต่ละเหรียญ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการล่มสลายของเงินสกุลนั้น (คล้ายกับการพิมพ์เงินในปัจจุบัน)
- ในช่วงปี AD 200-300 จักรวรรดิโรมันที่เคยยิ่งใหญ่ ก็เคยล่มสลายเพราะเหตุที่พยายามลดปริมาณทองคำและแร่เงินบนเหรียญจนสุดท้ายเงินเฟ้อ คนไม่เชื่อถือและต้องการมันอีกต่อไป
- การที่ทองคำนั้นมาเป็นเงินที่ถูกเลือกนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆครับ เนื่องจากทองนั้นได้ผ่านการคัดสรรมาแล้วอย่างดีในประวัติศาสตร์มนุษย์ จนสุดท้ายคนหมู่มากก็ได้ให้มันเป็นเงินที่ได้รับการยอมรับจากทั่วมุมโลก ทำให้เราสามารถเรียกได้ว่าทองคำนั้นเป็น “เงินที่เป็นกลางที่สุดของประชาชน”
เงินของรัฐ จาก Gold Standard สู่ Fiat Currency ที่เราใช้ในปัจจุบัน
เงินรัฐในยุคแรกนั้นมีทองคำค้ำ หรือพูดง่ายๆว่าประชาชนหรือองค์กรไม่มีความจำเป็นต้องเก็บทองเอง รัฐจะเก็บให้และออกธนบัตรที่มีมูลค่าเทียบเท่าให้ใช้กัน โดยเราสามารถไปแลกทองคืนเมื่อไหร่ก็ได้
เมื่อหลายๆประเทศเริ่มใช้วิธีนี้ มันก็เกิดไอเดียที่เรียกว่า Gold Standard ขึ้นในปี 1879
- Gold Standard นั้นคือการที่ทุกประเทศที่เข้าร่วมจะยึดมูลค่าสกุลเงินรัฐของตนกับทองคำในอัตราที่คงที่
- ตัวอย่างเช่น ทองคำ 1 ออนซ์ จะเท่ากับ 20.646 ดอลลาร์ และเท่ากับ 4.252 ปอนด์
- หมายความว่าเงิน ดอลลาร์กับปอนด์ จะสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ด้วยอัตราคงที่
- Gold Standard ได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรปไม่ว่าจะอังกฤษ สเปน หรือเยอรมัน ทำให้การค้าขายของทุกประเทศในช่วงนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี
- เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เราสามารถทำการค้าระหว่างประเทศได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสกุลเงิน เพราะไม่ว่าสกุลไหนก็ไม่ต่างกันเพราะมีอัตราแลกเปลี่ยนที่คงที่ และยังสามารถแลกทองคืนได้เหมือนกันทุกสกุลอีกด้วย
แน่นอนว่ายุ่งเฟื่องฟูของ Gold Standard นั้นต้องมีวันเลิกรา เพราะเนื่องจากปี 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เกิดขึ้น ทำให้:
- ประเทศที่ทำสงครามทั้งหลายได้ระงับการแลกทองคืนด้วยธนบัตรชั่วคราว
- แต่ละประเทศต้องการเอาชนะทางสงคราม ซึ่งแน่นอนว่าสงครามต้องใช้เงิน ในเมื่อเงินนั้นต้องมีทองค้ำ ถ้าเราไม่มีทอง เราก็ไม่มีเงินไปทำสงครามให้ฝั่งตัวเองชนะ
- ทางออกของแต่ละประเทศก็คือ!! การพิมพ์ธนบัตรเพิ่มโดยไม่สนใจว่ามีทองค้ำอยู่ 1ต่อ1 อีกต่อไป และนี่คือการเริ่มสร้างภาวะเงินเฟ้อด้วยการผลิตเงินตราจำนวนมากขึ้นมาเพื่อใช้เป็นทุนสงคราม
- พอมีประเทศนึงทำ คนอื่นก็ไม่ยอมหรอก พิมพ์เงินเปล่าๆตามกันเลยทีเดียว
- ซึ่งเราจะเห็นว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผู้คนถูกกีดดันจากระบบการเงินเสรีเมื่อเงินที่ผู้คนใช้อยู่ไม่สามารถแลกทองคำคืนได้ต่อไป
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามทำให้คนเขวออกจาก Gold Standard:
- สงครามโลกสงบลงในปี 1918 ประเทศเช่นอังกฤษก็พยายามที่จะกลับไปยึดกับทองคำในอัตราเดิมก่อนทำสงคราม ทั้งๆที่ได้มีการพิมพ์เงินเพิ่มเกินเพื่อทำสงคราม (ตามหลักต้องปรับให้ใช้เงินปอนด์มากขึ้นเพื่อซื้อทองคำปริมาณเท่าเดิมตามเงินที่พิมพ์เพิ่มมา)
- เมื่อตลาดไม่ยอมรับตัวเลขนั้น ทำให้สกุลเงินนั้นเริ่มเฟ้อ หรือมีทองคำไหลออกไปประเทศที่ให้ราคาดีกว่า ทำให้ค่าเงินช่วงนั้นมูลค่าลดลงและผันผวนมาก
- แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้ามาช่วยในการเพิ่มปริมาณเงินในอเมริกา (หรือลดมูลค่าเงินดอลลาร์ ให้เงินสะพัด) ทำให้เงินไหลเข้าอเมริกาและดันตลาดหุ้นจนเป็นจุดเฟื่องฟูของประเทศ แต่สุดท้ายก็เกิดฟองสบู่แตก และโลกก็เข้าสู่ The Great Depression ซึ่งก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่ของโลก
Bretton Woods – US Dollar as Global Reserve หรือการดันเงินดอลลาร์เป็นเงินสำรองของประเทศอื่นๆ โดยมีทองค้ำอีกที:
-
- หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ เรียกตัวแทนพันธมิตรไปยังเมืองเบรตตันวูดส์ในรัฐนิวแฮมป์เชียร์เพื่อหารือเกี่ยวกับการกำหนดระบบเทรดของโลกแบบใหม่ หลังจากเกิดความวุ่นวายทางการค้าเมื่อทุกประเทศบนโลกผลิตเงินออกมาจำนวนมากเหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
- โดยผลสรุปของข้อตกลงคือสร้างระบบ Bretton Wood ที่เงินดอลลาร์สหรัฐจะอ้างอิงกับทองคำที่ 35 ดอลลาร์ต่อ 1 ออนซ์ และให้ประเทศอื่นๆสำรองสกุลเงินดอลลาร์อีกต่อนึง ซึ่งเรื่องนี้ไม่แปลกที่เงินดอลลาร์จะถูกเลือก เนื่องจากทาง 2 ใน 3 ของโลกอยู่กับสหรัฐอยู่แล้ว
- ทำให้โลกเราเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจที่อิงด้วยเงินดอลลาร์แต่อย่างไรก็ตามเราจะเห็นว่าทองคำได้กลับมามีบทบาทอีกครั้งในการแก้ปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทางเศรษฐกิจแม้จะไม่ใช่ทางตรงก็ตาม
- นี่เป็นการผลักดันให้เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินกลางหลักของโลก (Global Currency) โดยอ้างทองคำค้ำอีกที เพื่อให้ทุกคนยอมรับ
- ซึ่งตามหลักการแล้ว ประเทศต่างๆไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยอมรับสิ่งนี้ สบายซะอีก ไม่ต้องมานั่งเก็บทองเอง เก็บแค่เงินดอลลาร์ก็พอ เพราะมั่นใจได้ว่ามีทองคำค้ำอยู่แล้ว (รึเปล่า!?)
- ระบบ Bretton Woods นี้ให้ผลดีมากกว่าที่ทุกคนคิด เพราะแต่ละประเทศสามารถทำ Global Trade ได้อย่างอิสระและไม่ต้องกังวลถึงเรื่องค่าเงินเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป
- ระบบ Bretton Woods ทำให้ประเทศเช่นญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส บราซิล และอื่นๆอีกมากมาย มีความมั่งคั่งขึ้นอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์
Nixon shock จุดจบของยุคทองคำ และการเริ่มต้นของเงิน Fiat Currency:
- การที่อเมริกาเป็นมหาอำนาจ และให้ประเทศอื่นๆใช้ดอลลาร์ที่มีทองคำค้ำเป็นทุนสำรอง ทำให้อเมริกานั้นสามารถร่ำรวยได้ด้วยการแอบผลิตเงินเพิ่มโดยที่อาจไม่มีทองคำจริงๆ
- เกิดนโยบายประชานิยมจำนวนมากจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงของสงครามเวียดนามที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้อัดงบประมาณมหาศาลแก่สงครามทำให้หลายชาตินั้นเริ่มสงสัยว่ารัฐบาลอเมริกาผลิตเงินออกมาเกินกว่าทองคำที่อเมริกามีหรือไม่
- ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ชาร์ล เดอ โกล ยังส่งทหารฝรั่งเศสไปยังนิวยอร์กเพื่อรับทองคำของประเทศคืน ซึ่งก็ได้ไป
- แต่เมื่อทางเยอรมันขอทองคำคืนจากสหรัฐฯบ้าง ทางสหรัฐฯกลับไม่ให้ จนกระทั่งในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1971 ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐประกาศสิ้นสุดการแปลงสกุลเงินดอลลาร์ไปเป็นทองคำจึงทำให้ราคาทองคำในตลาดลอยตัวอย่างเสรี (อ้าว แบบนี้คนที่ถือดอลลาร์เพราะคิดว่ามีทองอยู่ กลับเสียทองไปทันที)
- โลกเราจึงเข้าสู่ยุคที่เศรษฐกิจถูกควบคุมโดยเงินของรัฐบาลที่เป็น Fiat ที่ไม่สามารถแลกคืนทองคำได้อีก และกลายเป็นเงินที่ค้ำด้วยความเชื่อมั่นในรัฐและความต้องการในตลาดไปในที่สุด
ซึ่งยุคสมัยนี้นั่นเองที่ทำให้คนรุ่นใหม่เคยชินกับเงินของรัฐ และเข้าใจไปเองว่ารัฐนั้นมีอำนาจและความชอบธรรมในการดูแลเงินของเรา แม้แต่บทเรียนต่างก็เขียนเป็นเรื่องปกติถึงนโยบายทางการเงินของภาครัฐว่าเป็นเรื่องที่ดีในการแก้ปัญหาเศษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ยหรือพิมพ์เงิน
มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นว่าวัฏจักรของเงิน จากเงินของประชาชนอย่างทองคำ กลายเป็นเงินของรัฐได้อย่างไร
เมื่อยุคสมัยของเงินรัฐสิ้นสุดลง ยุคของเงินประชาชนจะกลับมา
การล่มสลายของเงินรัฐไม่ใช่เรื่องใหม่ หากเราดูในอดีต การลดปริมาณโลหะเช่นทองคำในเหรียญก็ทำให้จักรวรรดิ์โรมันล่มสลายมาแล้ว หรือแม้แต่จีนที่ในช่วงที่คิดค้นระบบธนบัตรรัฐได้ที่แรกในโลก ก็เคยพิมพ์เงินมาเงินทองคำที่มีจนระบบล่มไปแล้วเช่นกัน และท้ายที่สุด เราจะเห็นว่าวัฎจักรจะย้อนกลับมาที่เงินของประชาชนอีกครั้งเมื่อเงินที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลเกิดความล้มเหลว
ซึ่งในอดีต ทุกครั้งที่วิกฤติเกิดขึ้นผู้คนจะกลับไปเลือกเงินที่ดีที่สุด หรือทองคำอยู่เสมอ เพราะมันเป็นแร่ธาตุที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยใครคนใดคนหนึ่ง พูดง่ายๆคือเป็นกลางสำหรับทุกคนที่สุด
แม้แต่นักลงทุนในตำนานอย่าง Ray Dalio ก็ได้พูดถึง Paradigm Shift หรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของยุค ในครั้งนี้ถือได้เป็นจุดสิ้นสุดของยุคเงินรัฐ และทองคำจะกลับมาผงาดอีกครั้ง
คุณสมบัติของเงินในอุดมคติหรือ Sound Money ในอนาคต
ทองคำที่เรียกได้ว่าเป็น Sound Money ในอดีต ก็ยังเจออุปสรรคในการกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และแม้ว่าเราจะสมมุติ ว่ามันผ่านอุปสรรคนั้นได้ แล้วกลับไปมีสิ่งที่ใกล้เคียงกับ Gold Standard ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะอยู่ยาว เพราะตามธรรมชาติแล้ว เงินรัฐก็จะพยายามตีห่างออกจาก Standard นี้อย่างไม่ต้องสงสัย พอได้โอกาส รัฐก็จะพยายามยุ่งกับนโยบายการเงิน ยุ่งกับจำนวนเงินในระบบและพิมพ์เงินออกมาอยู่ดี
ผลก็คือประชาชนก็รับเคราะห์ไม่ต่างจากเดิม เนื่องจากเราต้องใช้เงินรัฐอย่างไม่มีทางเลือก ด้วยระบบการเงินที่รัฐวางไว้แล้ว ทองคำไม่สามารถโอนย้ายได้สะดวกสบายในโลกดิจิทัลนี้โดยไม่พึ่งพาตัวกลางจัดเก็บ
และแม้ว่าใครจะพยายามสร้างเงินที่ไม่มีรัฐเกี่ยวข้อง ส่วนมากก็จะล้มเหลว เพราะรัฐนั้นสามารถเข้ามาควบคุมมันได้ ตัวอย่างเช่นพวก E-wallet ต่างๆที่ต้องมีใบอนุญาติและทำตามกฏเกณฑ์ของรัฐ หรือ Libra ที่โดนรัฐจากทั่วโลกขวางอย่างสุดตัวไม่ให้เกิด
ดังนั้น ถ้าเราจะมีโอกาสต่อกรกับเงินรัฐและระบบเงินนี้ได้ มันก็คงจะต้องเป็นเงินที่แม้แต่รัฐเองก็ไม่สามารถหยุดได้
สรุปก็คือ แม้ว่าทองคำจะพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว 4 พันปีว่ามันเป็นทางออกของการล่มสลาญของเงินรัฐ มันก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งนี้เราจะเห็นผลลัพท์เช่นเดิม เนื่องจากทองคำนั้นไม่ได้ตอบโจทย์การล่มสลายของเงินรัฐในยุคดิจิทัล
ในยุคดิจิทัลนี้ Sound money ต้องไม่ใช่แค่เงินที่เป็นกลางและหายาก แต่ต้องสามารถต่อกรกับการถูกเซ็นเซอร์ การถูกควบคุมและการถูกยึดด้วย พูดง่ายๆก็คือต้องเป็นเงินเป็นอิสระ เปิดให้ทุกคนใช้ได้อย่างเท่าเทียม และเป็นของทุกคน ไม่มีตัวกลางใดๆควบคุมได้
Bitcoin จะเป็นเงินทางเลือกใหม่?
Bitcoin ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2008 หลังจากเกิดวิกฤติการณ์ซัพไพร์มที่เกิดจากการซุกหนี้เสียของนายธนาคารส่งผลทำให้สหรัฐต้องผลิตเงินจำนวนมหาศาลออกมาเพื่ออุ้มเศรษฐกิจ
- Bitcoin เป็นเป็นเงินและระบบการเงินที่เปิดให้ทุกคนใช้ได้เท่าเทียมกัน ไร้พรมแดน และไม่ถูกควบคุมจากใครคนใดคนหนึ่ง เงินที่เป็นของประชาชนจริงๆ
- Bitcoin ได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้ว 10 ปีกับการเป็นเงินที่มีเสถียรภาพ ไม่มีล่ม ไม่มีหยุดทำงาน ไม่มีงอแง ไม่มีใครสามารถแทรกแทรงได้
เมื่อเทียบกับทองคำแล้ว Bitcoin เหมือนมาเติมเต็มในหลายๆข้อที่ทองคำบกพร่อง เช่นในเรื่องจำนวนปริมาณ Supply ของ Bitcoin นั้นแน่นอน ไม่เหมือนทองที่เราไม่รู้ว่าจริงๆมีอยู่เท่าไหร่ หรือเราไม่รู้จำนวนที่แน่นอนของทองที่จะถูกขุดเข้ามาในตลาดแต่ละปี (ขึ้นอยู่กับขุดมากขุดน้อยด้วย)
ที่สำคัญที่สุด มันถูกออกแบบมาเพื่อตัดปัญหาความเสี่ยงกับตัวกลางออกไป ทั้งในการจัดเก็บและการโอนย้าย ดังนั้นมันจึงเป็นเสมือน Sound Money ที่ดีที่สุดในทางทฤษฎี
ปิดท้าย
แม้ว่าหลากหลายทฤษฎีนั้นจะมองว่านี่คือยุคขาลงของเงินรัฐ แต่อะไรจะมาแทนนั้นก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน
เบื้องต้น แนวคิดมีดังนี้เมื่อเงินรัฐเสียมูลค่า:
- การรื้อ Gold Standard กลับมาใช้
- รัฐจะต้องหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามาค้ำมากขึ้น ทองคำและ Bitcoin คือหนึ่งในตัวเลือกหลัก
- เกิดการเข้าถึงทองคำไม่ทันจนรัฐที่เสียเปรียบเริ่มนำ Bitcoin มาค้ำจนสุดท้ายกลายเป็นสินทรัพย์หลักในการค้ำสกุลเงินของรัฐทั่วโลก
- รัฐหาทางออกได้ด้วยทฤษฎีทางเศษฐศาสตร์ใหม่ๆ เช่น Modern Monetary Theory
- เริ่มมีเงินที่คนใช้แทนเงินรัฐโดยไม่ได้ขออนุญาติใดๆ เช่น Bitcoin หรือสกุลเงินที่มาจากองค์กรเช่น Libra
ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาของทองคำ การอยู่รอดของเงินรัฐ หรือโอกาสที่ Bitcoin จะผงาด ทั้งหมดนี้เป็นแค่การสันนิษฐาน มันอาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็เป็นได้ ดังนั้นพวกเรานักลงทุนเองก็ต้องคิดเผื่อและจัดพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสมเพื่อรับมือกับสถานะการณ์เหล่านี้ให้ได้ครับ
ติดตามบทความอีกมากมายได้ที่:
หรือที่ Telegram Channel ครับ